vlovepeugeots.com - Please Ctrl+DBookmark Now!

vlovepeugeots Webboardl


Complete history of peugeot compact car
Copy From Caronline.comCOMPLETE HISTORY OF PEUGEOT COMPACT CAR

ปี 1943 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คณะกรรมการองค์การยานยนต์ของรัฐบาลฝรั่งเศส (VICHY AUTOMOBILE
ORGANIZATION COMMITEE) ได้กำหนดให้บริษัทรถยนต์ท้องถิ่นทั้ง 3 แห่ง ผลิตรถยนต์จำหน่ายได้เพียงรายละ
รุ่นเดียวเท่านั้น เมื่อเรโนลต์เลือกผลิตรถยนต์หรูรุ่นฟรีเกต (FRIGATE) และซีตรองเลือกผลิตเจ้าลูกเป็ดขี้เหร่รุ่น
2CV ที่เตรียมการมาตั้งแต่ก่อนเกิดสงคราม เปอโยต์จึงต้องเดินหน้าโครงการผลิตรถยนต์ขนาดกลางที่เริ่มมาตั้งแต่
ปี 1941 อย่างหมดทางเลือก เพื่อให้ชะตากรรมบริษัทอยู่รอด แต่กว่าจะเปิดตัว ต้องรอกันถึง 7 ปี

203
เข้าทำตลาดแทนรุ่น 202 เปิดตัวในงานปารีสมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนตุลาคม 1948 และเริ่มบุกตลาดจริงเดือนมกราคม
1949 และอยู่ในตลาดจนถึงปี 1960 ด้วยยอดขายที่แซงคู่แข่งอย่างซิมคา 8 จากไครส์เลอร์ ยุโรป และ ซีตรอง 11
แทรคชัน อาวองต์ ฉุดให้เปอโยต์รอดจากปากเหวมาได้ มีทั้งรุ่นซีดานหลังคาแข็งหรือหลังคาผ้าใบ,รุ่นฐานล้อยาว 203 L
ที่เปิดตัวในปี 1950 พร้อมกับรุ่นเปิดประทุน,แวกอน 5 ประตู,ตู้ทึบส่งของ ไปจนถึงรุ่นกระบะและรุ่นแชสซีเปล่า
ปิดท้ายด้วยรุ่นคูเปที่ผลิตเพียง 1,000 คันเท่านั้น

มิติตัวถังรุ่นซีดานทั้งหลังคาแข็งหรือผ้าใบยาว 4,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,610 มิลลิเมตร สูง 1,560 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อยาว 2,580 มิลลิเมตร 203 ยุติการผลิตในปี 1960 ทุกรุ่นวางขุมพลังรหัส TM 4 สูบ 1,290 ซีซี 42-45 แรงม้า
(HP) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 8.8 กก.-ม.ที่ 2,500 รอบ/นาที

204
รถยนต์เล็กที่พลิกประวัติศาสตร์การออกแบบของเปอโยต์ เปิดตัวรุ่นซีดานออกมาก่อนในเดือนเมษายนปี 1965 ตามด้วย
รุ่นแวกอนหรือ BREAK ในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน จากนั้นถึงคิวของรุ่นเปิดประทุน,คูเป และตู้ทึบส่งของ นอกจาก
ไม่ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับพี่น้องรุ่นอื่นแล้ว ยังเป็นรุ่นแรกของเปอโยต์ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเครื่องยนต์ให้เลือก 4 ขนาด
ทั้งแบบเบนซิน XK5 1,127 ซีซี หรือดีเซล XLD 1,255 ซีซี และ XL4D 1,357 ซีซี แต่ที่เด่นสุดคือรหัส XK,XK4
4 สูบ OHC 1,130 ซีซี 53 แรงม้า (HP) ที่ 5,800 รอบ/นาที

รุ่นคูเปและเปิดประทุนเปิดตัวในปี 1966 ก่อนยุติการผลิตลงในฤดูใบไม้ผลิปี 1970 โดยรุ่นคูเปมียอดผลิตรวม
42,756 คัน ส่วนเปิดประทุนผลิตทั้งหมด 18,181 คัน ก่อนที่สายการผลิตรุ่น 204 จะปิดตัวลงในปี 1977 ด้วยยอด
ผลิตทั้งหมดถึง 1,020,029 คันในรุ่นซีดาน 485,336 คันในรุ่นแวกอน และ 37,994 คันในรุ่นตู้ทึบส่งของ

304
รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ของ 204 เผยโฉมพร้อมเปลี่ยนรหัสรุ่นใหม่ในปี 1969 นำร่องด้วยรุ่นซีดานก่อนที่รุ่นคูเป,
เปิดประทุนและแวกอน BREAK จะตามมาในปี 1970 เปลี่ยนกระจังหน้าและชุดไฟหน้าจากลายตารางมาเป็นแนวซี่นอน
ให้เหมือนกับพี่ใหญ่รุ่น 504 ที่โด่งดังในช่วงนั้น และเปลี่ยนชุดไฟท้ายหลังให้ทันสมัยและใหญ่ขึ้น

มิติตัวถังรุ่นซีดานยาว 4,140 มิลลิเมตร กว้าง 1,570 มิลลิเมตร สูง 1,410 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,500
มิลลิเมตร ส่วนรุ่นคูเปและเปิดประทุนมิติตัวถังยาว 3,760 มิลลิเมตร กว้างเท่ากับรุ่นซีดาน สูง 1,320 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,310 มิลลิเมตร ทุกรุ่นขับล้อหน้าด้วยขุมพลัง 4 สูบ OHC 1,288 ซีซี 75 แรงม้า (DIN) ที่ 5,800
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.9 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที พ่วงด้วยเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ

304 ปรับโฉมเล็กน้อยครั้งแรกในปี 1972 ก่อนที่ขุมพลัง 1,300 ซีซี 65 แรงม้า (DIN) แบบใหม่จะตามมาในรุ่นปรับโฉม
ครั้งที่ 2 ในปี 1976 ก่อนส่งท้ายด้วยรุ่น SL และ GL ในปี 1977

แม้รุ่นคูเปและเปิดประทุนยุติการผลิตลงในฤดูใบไม้ผลิปี 1976 แต่ทุกรุ่นยังทำตลาดมาจนถึงปี 1979 ก่อนที่สายการ
ผลิตของรุ่น 304 ยุติลงในด้วยยอดผลิตทั้งหมด 849,103 คันในรุ่นซีดาน 216,183 คันในรุ่นแวกอน BREAK
60,186 คันในรุ่นคูเป 18,647 คันในรุ่นเปิดประทุน และ 34,304 คันในรุ่นตู้ทึบส่งของ

305
เปิดตัวในปี 1977 ช่วงเวลาเดียวกับที่เปอโยต์เข้าซื้อกิจการของซีตรองและไครส์เลอร์ ยุโรป มีให้เลือกแค่รุ่นซีดาน
เพียงแบบเดียว ด้วยมิติตัวถังยาว 4,260 มิลลิเมตร กว้าง 1,636 มิลลิเมตร สูง 1,410 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว
2,621 มิลลิเมตร วางขุมพลัง 4 สูบ 1,290 ซีซี และ 1,472 ซีซี 74 แรงม้า (BHP) รวมทั้งดีเซล 1,548 ซีซี และ
1,900 ซีซี 68 แรงม้า (BHP)

ส่วนรุ่นสปอร์ต 305 S, รุ่นแวกอน (BREAK) และรุ่นตู้ทึบตามมาในปี 1980 พร้อมกับการปรับโฉมด้วยชุดไฟหน้าแบบ
ลาดเอียง และชุดไฟท้ายแบบ 6 ช่อง ส่งท้ายด้วยรุ่นแรงสุด GTX ขุมพลัง XU9-J4 16 วาล์ว 1,905 ซีซี 160 แรงม้า
(BHP) บล็อคเดียวกับ 405 และซีตรอง BX-GTi จะตามมาปิดขบวนในปี 1985 ก่อนยุติการผลิตในปี 1988

รุ่นที่เข้าเมืองไทยในปี 1984 และทำตลาดถึงปี 1989 วางขุมพลัง 2 ขนาด ทั้งแบบ 1,580 ซีซี 94 แรงม้า (DIN) ที่
6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.7 กก.-ม.ที่ 3,750 รอบ/นาที และ 1,905 ซีซี 105 แรงม้า (DIN) ที่ 5,800
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 กก.-ม.ที่ 3,000 รอบ/นาที

309
เปิดตัวในปี 1985 ที่มอนติ คาร์โล สปอร์ติง คลับ อย่างอลังการ ว่ากันว่าในตอนแรก 309 ในรหัสโครงการพัฒนา C28
นี้จะเป็นอีกทางเลือกใหม่ในสายพันธุ์ 205 แต่ด้วยปัญหาค่าเงินที่พาให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น เปอโยต์จึงเลื่อนตำแหน่งการ
ตลาดให้เทียบเท่ากับ 305 ทั้งที่ใช้ชิ้นส่วนมากมายเช่นประตูทุกบาน ร่วมกับ 205 ทำยอดขายสูงถึง 8 แสนคันในปีแรก
โดยเน้นการเพิ่มตัวเลือกใหม่ๆมากกว่าการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ยุติการผลิตลงในปี 1993

มิติตัวถังยาว 4,051 มิลลิเมตร กว้าง 1,628 มิลลิเมตร สูง 1,395 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,470 มิลลิเมตร
วางขุมพลังหลากขนาดตั้งแต่ 1,118 ซีซี 54 แรงม้า (BHP), 1,124 ซีซี 60 แรงม้า (BHP), 1,294 ซีซี 65 แรงม้า
(BHP), 1,360 ซีซี 75 แรงม้า (BHP), 1,580 ซีซี 79,80 และ 115 แรงม้า (BHP), XU9-JAK 1,905 ซีซี 8 วาล์ว
130 แรงม้า (BHP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.2 กก.-ม.ที่ 4,750 รอบ/นาที,เทอร์โบดีเซล 1,769 ซีซี 78
แรงม้า (BHP) และ ดีเซล 1,905 ซีซี 67 แรงม้า (BHP) ส่วนในฝรั่งเศสจะมีรุ่นพิเศษ 3 ประตู GTi Mi16 วางขุมพลัง
รหัส XU9-J4 16 วาล์ว 1,905 ซีซี 160 แรงม้า (BHP) บล็อคเดียวกับ 405 และซีตรอง BX-GTi อีกด้วย

รุ่นที่เข้าเมืองไทยมีเพียงแบบ 5 ประตู วางขุมพลังขนาด 1,580 ซีซี 2 เวอร์ชัน ทั้งรหัส XU5-1C 80 แรงม้า (DIN)
ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.5 กก.-ม.ที่ 2,800 รอบ/นาที ในรุ่นธรรมดา และรหัส XU5-2C 92 แรงม้า (DIN)
ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.5 กก.-ม.ที่ 3,250 รอบ/นาที สำหรับรุ่น GT

306
เปิดตัวในเดือนมกราคม 1993 บุกตลาดด้วยรุ่นแฮตช์แบ็ค 3 และ 5 ประตูและรุ่นเปิดประทุนก่อนที่รุ่น ซีดาน จะตาม
ออกมาหลังจากนั้นราว 1 ปีเต็ม

มิติตัวถังของทุกรุ่นยาว 3,995-4,232 มิลลิเมตร กว้าง 1,680-1689 มิลลิเมตร สูง 1,385 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
ยาว 2,580 มิลลิเมตร วางขุมพลังแบบ SOHC 4 สูบ มากถึง 7 ขนาด ทั้งแบบ 1,124 ซีซี 60 แรงม้า (PS), TU3JP
1,360 ซีซี 75 แรงม้า (PS), TU5JP 1,587 ซีซี 90 แรงม้า (PS), XU7JP 1,761 ซีซี 103 แรงม้า (PS), XU10J2
1,998 ซีซี 123 แรงม้า (PS) ,ดีเซล XUD9A 1,905 ซีซี 68 แรงม้า (PS) และ เทอร์โบดีเซล XUD9TE 1,905 ซีซี
90 แรงม้า (PS) ส่วนรุ่นแรงสุดรหัส S16 วางขุมพลัง XU10J4RS 4 สูบ 16 วาล์ว 1,998 ซีซี 155 แรงม้า (PS)

รุ่นแวกอน BREAK ตามมาสมทบพร้อมกับการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ปี 1997 เปลี่ยน
ฝากระโปรงหน้าพร้อมกระจังหน้าและกันชนหน้าจากลายซี่นอนมาเป็นแบบสปอร์ต ติดโลโก้เปอโยต์ขนาดใหญ่รวมทั้งชุด
ไฟท้ายลายใหม่ เฉพาะรุ่นซีดาน สลับตำแหน่งไฟเบรคจากด้านบนมาอยู่ด้านล่าง ทำให้ความยาวตัวถังขยายขึ้นเป็น
4,030-4,344 มิลลิเมตร พร้อมเพิ่มขุมพลังรหัส XU7JP4 1,761 ซีซี 110 แรงม้า (PS) และเพิ่มสมรรถนะให้กับรุ่น
S16 หรือ GTi-6 ด้วยขุมพลัง XU10J4RS 1,998 ซีซี 163 แรงม้า (PS) ส่วนการปรับโฉมครั้งสุดท้ายในปี 1999
เพิ่มกันชนหน้า-หลัง สีเดียวกับตัวถังในบางรุ่น และตัดขุมพลัง ดีเซล XUD9TE ออกไปเพื่อแทนที่ด้วย ดีเซล 1,997
ซีซี HDi 90 แรงม้า (PS)

306 เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยในปี 1996 ครบทุกตัวถัง ยกเว้นรุ่นแวกอน BREAK วางขุมพลัง XU7JP 1,761 ซีซี
103 แรงม้า (PS) 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.6 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที ส่วนรุ่นเปิดประทุนเป็นแบบ
XU10J2 SOHC 4 สูบ 1,998 ซีซี 123 แรงม้า (PS) ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.3 กก.-ม.ที่ 2,750
รอบ/นาที ทุกรุ่นได้รับความนิยมพอสมควร

โดยคุณ : พันแสง - [ 25 มี.ค. 2544 , 22:36:02 น. ]

ตอบ
ขอบคูณครับ
โดยคุณ : อดิทัต 505 / 1JZ - [ 27 มี.ค. 2544 , 07:43:04 น.]

ตอบ
ประวัติไม่ธรรมดาเลยครับ..อื่มมม..
โดยคุณ : 405GRA - [ 27 มี.ค. 2544 , 21:21:30 น.]

รายละเอียด
จาก :
email :
icq :
รายละเอียด



กรุณาคลิ๊ก Post message เพียงครั้งเดียวครับ....