|
หัวข้อ: เศรษฐกิจฟื้นได้ด้วยตนเอง เริ่มหัวข้อโดย: Thailandproject ที่ วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2009 เวลา 16:27:30 :Aah:
คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ โดย ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มติชนรายวัน วันที่ 09 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11505 "เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ มีความจำเป็นต้องเพิ่มรายจ่ายของภาครัฐเพื่อเป็นมาตรการกระตุ้น" กลายเป็นสูตรสำเร็จที่หลายฝ่ายอ้างถึง... การสรุปความเช่นนี้ไม่เพียงแต่ "ด่วนสรุป เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความไม่รอบคอบ ความจริงก็คือเราควรจะพิจารณาความข้อนี้อย่างระมัดระวัง ระบบเศรษฐกิจมีกลไกที่จะปรับตัวตามธรรมชาติด้วยตนเองอยู่แล้ว ผ่านกลไกราคา อุปสงค์ อุปทาน ภาษี และรายจ่ายด้านสวัสดิการ เป็นต้น (ตำราเรียกกลไกของการปรับตัวเหล่านี้ว่า automatic-stabilizer) ในโอกาสนี้ผู้เขียนขอวิพากษ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แผนการ "ไทยเข้มแข็ง" ซึ่งจะมีผลสร้างหนี้สาธารณะอย่างมโหฬารจากปัจจุบันถึงปี 2555 พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า ไทยเข้มแข็งอาจจะ "สร้างปัญหา" มากกว่า "แก้ปัญหา" ให้เศรษฐกิจไทย เป็นที่ทราบดีว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปี 2551-2552 ซึ่งมีอัตราติดลบนั้น สาเหตุสำคัญมาจากการส่งออก ซึ่งลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก ผลลัพธ์ตามมาคือฝ่ายผลิตจำเป็นต้องชะลอการผลิตลง ลดการจ้างงานหรือปิดกิจการชั่วคราว เป็นการปรับตัวตามสภาพธรรมชาติและเป็นปกติ ยิ่งเศรษฐกิจไทยอิงกับมูลค่าการส่งออกต่อ GDP สูง ผลกระทบของความผันผวนย่อมจะรุนแรงตามไปด้วย การที่ GDP ชะลอตัวหรือมีอัตราติดลบ ไม่จำเป็นต้องแปลว่า รายจ่ายของภาครัฐจะต้องทำหน้าที่ชดเชยการส่งออกที่มีมูลค่าลดลง ด้วยเหตุผลสำคัญคือ รายจ่ายของรัฐบาลไม่ได้มีพลังมากพอที่จะไปชดเชยการส่งออก ต้องเข้าใจว่า ตัวแปรสองตัว X (การส่งออก) กับตัวแปร G (รายจ่ายรัฐบาล) ไม่สามารถจะทดแทนกันได้อย่างเต็มที่หรือ 100% ขอขยายความประกอบดังต่อไปนี้ หนึ่ง มูลค่าการส่งออกนั้นเชื่อมโยงกับระบบการผลิตโดยตรง ดังนั้น ถ้าหากส่งออกได้มาก-ผู้ผลิตต้องเร่งปริมาณการผลิตอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม เมื่อการส่งออกน้อยลง-ฝ่ายผลิตจำเป็นต้องลดการผลิตเป็นธรรมดา แต่ว่ารายจ่ายรัฐบาลนั้นไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิต การปรับเพิ่มวงเงินรายจ่ายของรัฐบาลต้องดำเนินการผ่านกระบวนการงบประมาณ การใช้จ่ายส่วนหนึ่งจะเป็นรายจ่ายค่าจ้างเงินเดือน (ให้กับพนักงานของรัฐ) อีกส่วนหนึ่งนำไปจัดซื้อจัดจ้าง หรือเป็นเงินโอน/เงินอุดหนุนให้ประชาชนบางกลุ่ม สอง การส่งออกนั้นนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาอย่างแน่นอน ส่วนรายจ่ายรัฐบาลนั้น-ไม่ได้นำเงินตราต่างประเทศเข้ามา ในทางตรงกันข้ามรายจ่ายรัฐบาลอาจจะมีผลกระตุ้นการนำเข้าและทำให้สูญเสียเงินตราต่างประเทศสุทธิ สาม มูลค่าของการส่งออกนั้นมีขนาดใหญ่กว่ารายจ่ายรัฐบาลหลายเท่าตัว (3-4 เท่า) พร้อมกันนี้จึงขออ้างอิงนิทานอีสป ลูกกบบอกกับแม่กบว่า ได้ไปพบเห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่มหึมา (แม่วัว) แม่กบสงสัยว่าใหญ่แค่ไหน จึงพยายามจะพองตัวให้ลูกดูว่า ขนาดนี้ได้ไหม? ลูกกบว่าใหญ่กว่านี้มาก นิทานจบโดยสรุปว่า ความพยายามของแม่วัวไม่สำเร็จเพราะว่าท้องแตกตายไปเสียก่อน และให้คติสอนใจอย่างไรก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว เป้าหมายของการเพิ่มรายจ่ายของภาครัฐจึงไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจหรือชดเชยกับการส่งออกที่น้อยลง-สิ่งที่รายรัฐภาครัฐช่วยได้ (และควรจะเป็นเช่นนั้น) คือช่วยเหลือหรือบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่ตกงาน-คนจนและคนด้อยโอกาส มาตรการช่วยเหลือเช่นนี้เรียกว่า ตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (social safety net) หมายถึงการจ่ายเบี้ยการว่างงาน ให้คนตกงานสามารถมีรายได้ดำรงชีพไประยะหนึ่งระหว่างการสมัครงานใหม่ หรือรอการฟื้นตัว - โดยนัยนี้รายจ่ายของภาครัฐบางส่วนจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นส่วนหนึ่งของ automatic stabilizer และด้านจัดเก็บภาษีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของ automatic stabilizer เมื่อธุรกิจกำไรลดลงหรือลดการผลิตหรือการจ้างงานลดลง รายรับของรัฐบาลก็ลดลงไปโดยอัตโนมัติ วิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ จึงย้ำถึงจุดอ่อนของสังคมไทย คือ มาตรการ social safety net ในเศรษฐกิจไทย--ซึ่งมีน้อยเกินไป แรงงานกลุ่มใหญ่ของเราขาดหลักประกัน หมายถึง ผู้ประกอบการรายย่อย เป็นแรงงานรับจ้าง เป็นเกษตรกร ฯลฯ สิ่งที่เราควรจะพิจารณาหรือเร่งยกเครื่องคือ การสร้างความเข้มแข็งด้วย social safety net มากกว่า เพื่อช่วยเหลือแรงงานนับสิบล้านคนในยามตกงานหรือประสบภาวะวิกฤต ค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่จะลงไปช่วยเหลือประชาชน (และกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม) จะประหยัดและได้ผลกว่า ยอดเงินที่จะใช้จ่ายนั้นคิดเป็นหลักแสนล้านเท่านั้น (ไม่ใช่หลักล้านล้าน) ขอยกตัวอย่างมาตรการสร้างงานที่เรียกว่า workfare ข้อเสนอคือ ให้รัฐบาลร่วมกับองค์กรปกครองท้องถิ่นเพิ่มงบประมาณรายจ่ายเพื่อจ้างคนมาทำงานสาธารณะ คิดตัวเลขง่ายๆ ถ้าหากรัฐบาลประสงค์จะจ้างคนงาน 1 ล้านคนเป็นเวลาหนึ่งปี (สมมุติว่าจ่ายเดือน 8 พันบาทต่อเดือนต่อคน หรือ 96,000 บาทต่อปี) ค่าใช้จ่ายการกระตุ้นเศรษฐกิจและจ้างงานคิดเป็นมูลค่าน้อยกว่าหนึ่งแสนล้านบาท แต่ว่าเรากลับหลงประเด็น คือข้อเสนอให้เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อเป้าหมายป้องกันไม่ให้อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ชะลอตัวหรือติดลบ แค่คิดก็ผิดแล้ว เราควรจะยอมรับว่าการที่อัตราการเติบโตของ GDP ผันผวนและติดลบนั้นเป็นธรรมชาติ และไม่ควรจะโวยวายตีโพยตีพายเกินกว่าเหตุ ความจริงถ้าเราย้อนดูตัวเลขสถิติในอดีต เช่นในปี 2540, 2541 ก็ชัดเจนว่า GDP ติดลบมากกว่า 10% เราก็ผ่านพ้นกันมาแล้ว ภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ไม่ได้หนักหนาสาหัสไปกว่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เราน่าจะทบทวนว่า การที่เศรษฐกิจไทยผูกพันและพึ่งพิงการส่งออกอย่างมากดังเช่นปัจจุบันนี้-มีความเหมาะสมเพียงใด จึงขอตั้งประเด็นคำถาม (โดยไม่อภิปรายในโอกาสนี้) "แตะเบรกโลกาภิวัตน์" จะดีไหม? ที่ผู้เขียนจั่วหัวบทความนี้ว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง เพื่อจะสื่อสารว่า ระบบเศรษฐกิจนั้นมีกลไกที่จะปรับตัวตามธรรมชาติอยู่แล้ว หลายวิถีทางด้วยกัน มาตรการลดราคาสินค้า ลดราคาน้ำมัน ลดอัตราดอกเบี้ย ... เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัว ระบบการผลิตเมื่อชะลอตัวไประยะหนึ่งแล้วก็จะต้องฟื้นขึ้น เมื่อปริมาณสต๊อคสินค้าลดลงก็ถึงคราที่ฝ่ายผลิตต้องเพิ่มปริมาณการผลิต สัญญาณของการฟื้นตัวในไตรมาสที่สามที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวตามธรรมชาติ ... ไม่ใช่เป็นเพราะรายจ่ายของภาครัฐ แต่ทำไมนักการเมืองและนักธุรกิจจึงเชียร์กันจังว่า ภาครัฐจะต้องเพิ่มรายจ่าย-ต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล-และต้องกู้ยืม? เรื่องนี้มีคำตอบโดยใช้กรอบวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์การเมือง หนึ่ง เป็นธรรมชาติของการเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลอยากจะหาเหตุเพิ่มรายจ่าย เพราะว่าเงินคืออำนาจของฝ่ายบริหาร งบประมาณรายจ่ายสร้างให้โอกาสกับฝ่ายรัฐบาล ทำแล้วได้คะแนนนิยมและได้รับผลประโยชน์ (ซึ่งอาจจะไม่เป็นตัวเงินหรือตัวเงินก็สุดแท้แต่) สอง การที่ฝ่ายธุรกิจเชียร์หนักหนาให้รัฐบาลจ่ายเงินหรืออัดเม็ดเงินลงมาก็เพราะผลประโยชน์เช่นเดียวกัน บางคนอ้าง (อย่างผิดๆ) ว่า รัฐบาลสหรัฐหรือประเทศโน้นประเทศนี้อัดเม็ดเงินด้วยรายจ่ายภาครัฐมากกว่าของประเทศไทยหลายเท่าตัว ราวกับจะบอกว่า "เมืองไทยน่าจะทำตามอย่าง" ความจริงคือ สถานการณ์ของแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกันแต่อย่างใด การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนนั้น ไม่ใช่เรื่องไม่ดี - ถ้าหากเราเลือกโครงการที่เหมาะสม ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป หมายถึง ควรจะผ่านการวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนของโครงการลงทุนเสียก่อน หลักการนี้อยู่ใน พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณแผ่นดิน พ.ศ.2502 โดยระบุว่า รายจ่ายการลงทุนขนาดใหญ่ (เกินกว่า 2-3 พันล้าน) ต้องให้หน่วยงานวางแผน (สภาพัฒน์) วิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการลงทุนเสียก่อน... หลักการนี้เป็นส่วนหนึ่งของวินัยทางการคลังและทำให้นโยบายการคลังของไทยเรารับคำชมเชยมาโดยตลอด ... น่าเสียดายว่ารัฐบาลและสภานิติบัญญัติในยุคปัจจุบันกลับละเลยหลักการที่ดีในอดีต จึงต้องแย้งพร้อมกับกับแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างตรงไปตรงมา ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ของสมาชิกวุฒิสภา คำนูณ สิทธิสมาน (ใน น.ส.พ.ผู้จัดการรายวัน) ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับพระราชกำหนดการกู้ยืม ...และข้อความในมาตรา 4 ที่ยกเว้นว่าการกู้ยืมครั้งนี้ไม่ต้องทำตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณแผ่นดิน พ.ศ.2502 พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ.2490 และ พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 พร้อมกับเปรียบเทียบว่านี้คืองบประมาณแบบอนารยะ แผนการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ตั้งชื่อเท่ว่า ไทยเข้มแข็ง...จะเข้มแข็งจริงหรือไม่เราต้องติดตามกันต่อไป? ความจริงถ้าหากภาคธุรกิจเห็นดีด้วย น่าจะร่วมลงทุนกับรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจด้วย มากกว่าเชียร์ให้ภาครัฐจ่ายฝ่ายเดียว ถ้าหากภาคธุรกิจร่วมลง 30% หรือ 50% เราจะเกิดความมั่นใจ เพราะว่าการลงทุนของภาคเอกชนนั้นไม่สุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน และเป็นผลดีคือภาครัฐไม่ต้องขาดดุลมากเกินไป หนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นจะไม่มากมาย (ราวกับเป็นเงินที่ตกมาจากฟากฟ้า ได้มาฟรีๆ) ดังเช่นขณะนี้ ในประเด็นสุดท้ายผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ ความไม่คงเส้นคงวาของนโยบายรัฐบาล (policy inconsistency) และความขัดแย้งในตัวเอง ในทางหนึ่ง [A] การอัดเม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐ โดยการขาดดุล (ในและนอกงบประมาณ) จะช่วยให้อัตราการเติบโตของ GDP เพิ่มขึ้นหรือไม่ติดลบ แต่อีกทางหนึ่ง ประเทศใดก็ตามที่มีหนี้สาธารณะสูง อัตราการเจริญเติบโตของ GDP มีแนวโน้มลดน้อยลง ... A กับ B จึงเป็นความขัดแย้งกันในตัวเอง พร้อมกันนี้ขออ้างอิงหนังสือ Living with Debt เป็นรายงานของการค้นคว้าโดย Inter-American Development Bank เผยแพร่ในปี 2007 เหตุใดประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูง-อัตราการเติบโตของ GDP จะต้องลดลง อธิบายได้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ ก) เมื่อหนี้สาธารณะสูง รายจ่ายที่จะนำไปชำระหนี้ในงบประมาณจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว (ประมาณ 10-15 ของรายจ่าย) ดังนั้น งบประมาณส่วนที่เหลือจะนำไปใช้จ่ายจริง ลดลง ข) เมื่อหนี้สาธารณะสูง-รัฐบาลต้องหาทางเก็บภาษีใหม่ๆ หรือเพิ่มอัตราภาษี ซึ่งมีเกิดผลกระทบทางลบ นัยของประโยค A กับประโยค B จึงแย้งกันเอง เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ของ A นั้นปรากฏในระยะสั้น ส่วนผลลัพธ์ของ B จะปรากฏในระยะยาว ส่วนสุดท้ายของขยายความ หนี้สาธารณะที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น (สมมุติว่ารัฐบาลนี้จะมีอายุการทำงานยาวไปถึง 2555) ประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรก การกู้ยืมส่วนนอกงบประมาณ ตามแผน SP1, SP2 ประมาณ 1.4 ล้านล้าน ส่วนที่สอง การขาดดุลภายในงบประมาณ (ประมาณ 350,000 ล้านบาทในปี 2553 สมมุติว่าจะขาดดุลวงเงินเท่ากันในปีงบประมาณ 2554 และ 2555) หรือ 1 ล้านล้าน เมื่อรวมสองส่วนเข้าด้วยกัน หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านล้าน (ยอดหนี้เพิ่มจาก 4 ล้านล้านบาท เป็น 6.4 ล้านล้านบาทโดยประมาณ) ในฐานะนักเรียนเศรษฐศาสตร์ ผู้เขียนสนใจประเด็นนี้และได้ทดลองคำนวณตัวเลขเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิเคราะห์หนี้กับภาระภาษี กรอบเวลาวิเคราะห์จากปัจจุบันถึง พ.ศ.2563 (8 ปีหลังรัฐบาลปัจจุบันทำงานครบถึงปี 2555) โดยใช้หลักการ tax smoothing สรุปความได้ว่า อัตราภาษีต่อ GDP อาจจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 24-25% สูงกว่าอัตราปัจจุบัน (17%) มาก อีกครั้งหนึ่งที่จำเป็นต้องยืนยันว่า หนี้สาธารณะนั้นไม่ใช่ของฟรี เมื่อกู้-จงเตรียมรับมือกับภาษีที่จะต้องเพิ่มขึ้นได้เลย |