Vlovepeugeot ชมรมคนรักเปอโยต์ (เปอร์โยต์) ประเทศไทย

ผมมีตัวอย่างภัยจากตัวแทนบริษัทประกัน อยากให้ผู้ที่ใช้รถส่วนตัวในการเดินทางควรระมัดระวังกับกรณีหากเกิดอุบัติเหตุครับ  :ใบเหลือง: :ใบเหลือง:
> อย่ารีบเซ็นเอกสารประกัน  หากเกิดอุบัติเหตุ
> ต้องเปลี่ยนนิสัยซะแล้ว
> เพราะเราชอบเซ็นต์ให้เขาเรื่อยโดยไม่ได้อ่านให้ละเอียด
>
> > เพื่อนที่อยู่บริษัท ทิพยประกันภัย เป็นคน Forward มาให้ น่าจะเชื่อถือได้
> >
> > หากไปขับรถชนใครเข้าอย่ารีบไปเซ็นเอกสารของบริษัทประกัน
> ถ้าสมมติว่าคุณขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุทำให้บุคคลภายนอกบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
> สิ่งที่คุณควรจำไว้ก็คือ ' ประกันภัยมีหน้าที่ต้องจ่าย '
> แต่สิ่งที่พบเห็นบ่อยๆบนโรงพักก็คือ  พนักงานของบริษัทประกันภัยจะเอาเอกสารมาให้คนขับรถเซ็นแล้วพูดกำชับ ว่า ' คุณไม่ผิดใช่ไหมๆ ถ้าคุณไม่ผิด คุณต้องเซ็นนะ
> > หารู้ไม่ว่าเอกสารที่เอามาให้เซ็นเป็นเอกสารที่สละสิทธิที่ทำให้บริษัทประกันภัยไม่ต้องจ่าย
> หมายความว่า หากมีการฟ้องร้อง คุณต้องจ่าย ค่าเสียหายเอง เต็มจำนวน
> >
> > ผมเพิ่งไปโรงพัก เจอคดีที่คนขับรถชนคนตาย รู้เท่าไม่ถึงการณ์เซ็นเอกสารดังกล่าวไป
> เจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายให้คนขับรถฟังภายหลังว่าเอกสารที่เซ็นกับบริษัทประกันไปน่ะโดนเค้าหลอกให้เซ็นรู้หรือเปล่า
>
> > ผู้ต้องหาถึงกับจะไปกระโดดต่อยพนักงานของบริษัทประกันดีที่ตำรวจห้ามไว้ทัน
> แต่ที่น่าเจ็บใจแทน ก็คือ พนักงานบริษัทประกันหยิบโทรศัพท์โทรขึ้นมาแล้วพูดว่า 'ผมเอาเอกสารให้ลูกค้าเซ็นแล้วนะอย่าลืมส่วนแบ่ง ...% ' (ผมจำตัวเลขไม่ได้) ดังนั้น หากไปขับรถชนใครเข้าก็อย่ารีบไปเซ็นเอกสารของบริษัทประกันนะ
> ตรวจดูให้ดีซะก่อนนะ เป็น FW  เอามาให้อ่านกัน

ขอบคุณครับ ปกติคนไทยก็ไม่ชอบอ่านหนังสือกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องเตือนใจให้ต้องระวังมากขึ้นอีก
แต่อย่างไรก็ขอให้เพื่อนสมาชิกขับรถด้วยความมีสติและไม่ประมาทนะครับ เกิดอะไรขึ้นก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊า
ถึงแม้บางรายจะมีประกันคอยช่วยจ่าย แต่อาจจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายของประกัน

   ขออนุญาติเสริมนิดนึงนะครับ....เท่าที่ทราบหรือที่เคยเจอ..ส่วนมากที่พนักงานประกันภัยให้เซ็นต์ชื่อก็จะมีดังนี้
1. เซ็นต์ยอมรับผิดหรือประนีประนอมยอมความ
2. เซ็นต์ในเคลมฟอร์มของบริษัทนั้นๆ(หมายถึงการอธิบายว่าขับมาอย่างไรแล้วชนกันอย่างไร)
3. เซ็นต์ยกเลิกเคลม(อันนี้ควรดูเนื้อหาให้ดีก่อน)
4. เซ็นต์ยินยอมให้ความร่วมมือกับประกันภัย(คือยอมให้ประกันต่อสู้คดีหรือเป็นพยาน)
5. เซ็นต์รับใบเคลม(รายการความเสียหาย)
6. เซ็นต์ใบแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานเคลม
     ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ควรอ่านเนื้อหาหรือข้อความให้เข้าใจก่อนเซ็นต์อะไรลงไปหากอ่านแล้วไม่เข้าใจต้องให้พนักงานคนนั้นอธิบายให้ฟังต่อหน้าพยาน(ใครก็ได้หรือจะเป็นตำรวจก็ดี)
   ส่วนข้อความนี้...> ถ้าสมมติว่าคุณขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุทำให้บุคคลภายนอกบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
> สิ่งที่คุณควรจำไว้ก็คือ ' ประกันภัยมีหน้าที่ต้องจ่าย...ความเข้าใจข้อความนี้ถูกเพียงครึ่งเดียวนะครับ..ขออธิบายเพิ่มนิดนึงนะครับว่า..กรณีมีคนตายประกันภัยมีหน้าที่จ่ายไม่เกินวงเงินประกันภัยไว้นะครับ..ยกตัวอย่างเราขับรถชนคนข้ามถนนตาย1คน ประกันมีทุนอยู่ 100,000 บาทก็จ่ายได้100,000 บาทเท่านั้นแต่ทายาทเค้าเรียกร้องมา200,000 บาทส่วนที่เกิน100,000 บาทเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่ในส่วนที่เกินนี้ขึ้นอยู่ว่าเราเจราจาให้เค้าลดได้เท่าไหร่แต่ถ้าเราเจราจาไม่เป็นก็สามารถให้พนักงานเคลมหรือตำรวจเป็นผู้เจราจาให้ก็ได้โโยที่เราอยู่ร่วมรับฟังด้วย...
   ส่วนข้อความนี้...> แต่ที่น่าเจ็บใจแทน ก็คือ พนักงานบริษัทประกันหยิบโทรศัพท์โทรขึ้นมาแล้วพูดว่า 'ผมเอาเอกสารให้ลูกค้าเซ็นแล้วนะอย่าลืมส่วนแบ่ง ...% ' (ผมจำตัวเลขไม่ได้) ดังนั้น หากไปขับรถชนใครเข้าก็อย่ารีบไปเซ็นเอกสารของบริษัทประกันนะ......น่าจะแจ้งระดับผู้บริหารของบริษัทประกันภัยนั้นๆให้เค้าได้รับทราบถึงพฤติกรรมของพนักงานเคลมคนนั้น.....

สรุปคือเมื่อเกิดเหตุกับเราๆควรตั้งสติแล้วโทรหาคนที่คุณคิดว่าจะช่วยแนะนำหรือช่วยเราได้เช่นพ่อแม่,พี่น้อง,ญาติ,เพื่อนและประกัน.......

เห็นด้วยกับคุณโจ เป็นที่สุดครับ... ประกันภัยช่วยเหลือเราได้บางส่วนเท่านั้น.... และบางส่วนนั้นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกรมธรรม์ด้วย......

 :What: ผมมีข้อสงสัยอยากถาม อยู่อย่างหนึ่งจากประสบการณ์ หลานขับรถ(ไม่มีประกันภัยเลย)ไปชนตูดรถป้ายแดงอย่างแรงยี่ห้อหนึ่งรถเพิ่งออกมาประมาณอาทิตย์กว่าเมื่อเดือนที่แล้ว เราเป็นจำเลยก็ได้เซ็นยินดีชดใช้ให้กับประกันภัยไปแล้ว และก็พยายามโทรถามเจ้าของรถไปตลอด ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเลยจนขี้เกียดโทรแล้ว จนถึงบัดนี้เรื่องก็ยังเงียบเลย มันหมายความว่าอย่างไรอยากจะทราบข้อกฎหมายและหนทางปฏิบัติครับ ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ :ยินดี อุอุอุ: :Lucky: :มอบดอกไม้:

ไม่ต้องทำอะไรครับเพราะหลานท่านพี่ได้เซ็นต์ยินดีชดใช้ไปแล้ว(ไม่น่าเซ็นต์เลยเพราะไม่รู้ว่าเค้าไปเติมอะไรหรือป่าวแต่ถ้าต้องเซ็นต์ชื่อจริงๆควรให้เค้าถ่ายสำเนาให้เราเก็บไว้1ฉบับเพื่อกันการเพิ่มเติมข้อความ)เดี๋ยวเค้าติดต่อมาเอง..เข้าใจว่าคงยังซ่อมไม่เสร็จหรือไม่ก็อู่ที่ซ่อมยังไม่มาตั้งเบิกที่ประกันๆจึงยังไม่ได้รับช่วงสิทธิจึงยังไม่สามารถมาเรียกร้องคู่กรณีได้ครับ...
 ปล. ถ้าประกันเค้าได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องคู่กรณีแล้วส่วนมากเค้าก็จะทำแบบนี้ครับ...
     1.ใช้วิธีโทรหาหรือส่งจม.ถึงคู่กรณีเพื่อเรียกร้องค่าซ่อม...
     2.ใช้วิธีไปหาถึงบ้านตามที่อยู่ที่ได้ให้ไว้...
     3.ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง..(อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าคู่กรณียอมจ่ายหรือไม่ประกอบกับค่าเสียหายสูงหรือไม่)
ข้อแนะนำนิดหน่อย...ถ้าประกันติดต่อมาเรียกร้องค่าซ่อมเราก็ขอดูรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดซ่อมว่าซ่อมอะไรไปบ้าง+รูปขณะซ่อม..จากนั้นเราก็ขอเวลาตรวจสอบราคาก่อน...
    สรุปคือรอประกันติดต่อ....

อืม....ชัดเจนเลย พี่ โจ

 :like:

ยังไงก็ต้องอ่านครับ
หากอ่านไม่เข้าใจบอกไปเลยว่ายังไม่เซ็นต์ขอปรึกษาทนายก่อน จะได้ไม๊ทนายโจ

คุณโจ..ตอบได้แน่นดี เป็นทนายหรือครับ ผมสงสัยอยู่นิด คือจากข้อความเรื่องข้างบน..เอกสารประกันภัยที่ได้เซ็นรับไปแล้วนั้นในกรณีที่ขอรับผิดชอบเอง...โดยฝ่ายประกันไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย..สามารถแก้ไขอะไรได้มั๊ย..มันไม่ปกติ..คือถ้าตามความเป็นจริงเราเป็นผู้เอาประกันภัยเมื่อเกิดเหตุ เราก๊ต้องให้ทางฝ่ายประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบและการที่ตัวแทนของบริษัทประกันเอาเอกสารมาให้เซ็นโดยอ้างว่า..อย่างนั้น..อยา่งนี้..(เป็นเท็จ)ทาง คปภ.จะเข้ามาดูแลส่วนนี้ได้มั้ย...ขอเป็นความรู้ด้วยครับ (กรณีศึกษา)

ผมไม่ใช่ทนายนะครับแค่อาศัยว่ามีผจก.ฝ่ายเป็นทนายใหญ่และมีลูกน้องเป็นทนาย+เพื่อนฝูงก็เป็นทนายทั้งนั้นมีผมคนเดียวนอกคอก...อิๆ
  ขอตอบดังนี้นะครับ...การที่เราเซ็นต์อะไรลงไปโดยที่ไม่ได้อ่านโดยปกติถือว่าเอกสารชิ้นนั้นมีผลผูกพัน..ส่วนที่บอกว่าเซ็นต์โดยที่เราเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แต่เนื้อหาในเอกสารกลับเป็นคนละเรื่องกันนั้นก็ต้องหาพยานหรือหลักฐานมาหักล้างกันเช่นตอนที่เซ็นต์มีพยานคนไหนอยู่ร่วมรับรู้ด้วยบ้าง..ถ้าไม่มีก็ต้องดูที่เจตนาและความเป็นไปได้หรือสาเหตุการเชื่อมโยงกัน...กรณีที่เราเซ็นต์ของรับผิดชอบเองนั้นเราสามารถทำได้โดยการขอยกเลิกเคลมนั้นไป..แต่ในทางกลับกันประกันภัยไม่สามารถบังคับให้เรายกเลิกเคลมเองได้ต้องเป็นความสมัครใจของเราเองเท่านั้น...
    สรุป..คือถ้าใครมีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทประกันภัยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามสามารถยื่นคำร้องเรียนไปที่คปภ.ตรงข้ามศาลอาญารัชดาได้จ-ศ ในเวลาราชการหรือมีข้อสงสัยที่เกี่ยวกับประกันภัยก็สามารถโทรสอบถามได้...
    ไหนก็ไหนแล้วขอเพิ่มข้อมูลให้นิดหน่อยนะครับ...ขั้นตอนการยื่นคำร้องก็จะมีขั้นตอนหลักๆดังนี้..
-ร่างจดหมาย(เหมือนการเสนองานให้ผจก.)ว่าเราเป็นใครเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะร้องเรียนนี้อย่างไรบ้าง...
-เรื่องเป็นมาอย่างไรเช่นเกิดเหตุที่ไหนวันที่เท่าไหร่เวลาอะไร...
-ร้องเรียนเรื่องอะไรเช่นประกันซ่อมช้า,ไม่จ่ายตังค์,ไม่รับผิดชอบ....
-เราจะเรียกค่าเสียหายอะไรบ้างพร้อมเหตุผลที่เรียกร้องค่าเสียหายเช่นขอเรียนร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถหรืออื่นๆ
   เมื่อเจ้าหน้าที่คปภ.รับเรื่องเราแล้วเค้าก็อาจจะถามโน่นนี่นั้นแล้วก็จะนัดหมายกับเราอีกครั้งว่าจะมาเจราจากันวันไหนอย่างไร(เพราะเค้าจะต้องแจ้งให้ประกันภัยนั้นๆรับทราบแล้วมาเจราจา)โดยเค้าจะให้เลขรับ+เบอร์โทรและเจ้าหน้าที่ๆรับผิดชอบเรื่องนั้นๆ หากภายหลังตกลงกันไม่ได้ก็จะมี2วิธีในการดำเนินการ 1.ให้เราไปฟ้องศาลเอาเอง...โดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมแล้วแต่ศาลนั้นๆ..(แต่คดีจะจบช้า)
                                                                                   2. ให้เรายื่นเรื่องต่ออนุญาโตตุลาการของคปภ.(คล้ายๆกับศาล)โดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ1ของทุนทรัพย์ที่ขอยื่นฟ้อง....(แต่คดีจะจบเร็ว)
 .........เอาแค่นี้ก่อนนะเมื่อยมือแล้วแถมหิวฉาวๆด้วย....อิๆ

 :like: :like: :like: ขอบคุณครับ... :มอบดอกไม้:

            :ยินดี อุอุอุ:ขอขอบคุณมากครับน้องโจ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นผมทราบตอนหลังแล้ว และเขาก็ไม่เล่ารายละเอียดให้ผมทราบมากนัก แต่มีข้อสงสัยอยู่หน่อยหนึ่ง คือตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆหลานเขาโทรไปถามประกันว่าขอเบอร์โทรเจ้าของรถเพื่อจะถามรายละเอียดบางอย่าง แต่ประกันไม่ยอมบอกคงเพื่อไม่ให้เราติดต่อกับเจ้าของรถ เลยต้องไปขอที่โรงพักจึงได้เบอร์โทรมา เขาก็โทรไปหาเจ้าของรถตอนนั้นเขาบอกว่ายังไม่ได้เอารถเข้าอู่ซ่อมเลย ตอนนั้นเราก็คิดกันเอาเองว่าคงต้องเอารถเข้าศูนย์ที่เขาไปซื้อรถมาแน่ๆ เพราะรถเขายังใหม่ป้ายแดงๆเลยใช้ยังไม่ถึงเดือน ที่สงสัยว่าประกันทำไมต้องปิดบังเบอร์โทรเจ้าทุกข์ด้วยครับ  หรือถ้าประกันจะเอารถไปเข้าอู่นอกศูนย์จะเป็นไปได้หรือเปล่าอันนี้ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันครับ :What:

ตอบ..ที่เค้าไม่ให้เบอร์อาจมีหลายสาเหตุเช่นกลัวเราจะโทรไปรบกวนหรือข่มขู่,ซึ่งเป็นของมูลลูกค้าเค้าถ้าให้ไปโดยไม่ได้รับอนุญาติจากลูกค้าเค้าอาจโดนลูกค้าต่อวาได้ครับ...
ส่วนเรื่องเข้าอู่นอกอู่ในเวลาเค้ามาเรียกร้องก็ขอใบเสนอราคา+ใบเสร็จค่าซ่อมค่าอะไหล่มาตรวจสอบสิครับ......