Vlovepeugeot ชมรมคนรักเปอโยต์ (เปอร์โยต์) ประเทศไทย

หมวดหมู่ทั่วไป [ General topics ] => พูดคุยทั่วไป ได้ทุกเรื่อง => ข้อความที่เริ่มโดย: Ti404 ที่ วันเสาร์ที่ 01 มีนาคม 2014 เวลา 20:28:11



หัวข้อ: หัวเทียนร้อนกับหัวเทียนเย็นคืออะไรเหรอครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ti404 ที่ วันเสาร์ที่ 01 มีนาคม 2014 เวลา 20:28:11
ได้ยินเรื่องหัวเทียนร้อน และเย็น มาแค่ชื่อครับ ยังไม่รู้รายละเอียด ว่ามันเป็นอย่างไร เหมือนหรือต่างตรงไหน
แล้วรถแต่ละรุ่นของเปอโยต์ใช้แบบใด ถ้ามีผู้รู้รบกวนด้วยครับ ขอบคุณครับ  :Pika:


หัวข้อ: Re: หัวเทียนร้อนกับหัวเทียนเย็นคืออะไรเหรอครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jiratt ที่ วันอาทิตย์ที่ 02 มีนาคม 2014 เวลา 12:59:38
    ไม่ยืนยันข้อมูลนะครับ เคยได้ฟังมานานแล้ว
    หัวเทียนเย็น คือทนการใช้งานได้ดีกว่า คือขับไปนานๆหัวเทียนไม่ร้อนครับ
    หัวเทียนร้อน ...ตรงกันข้ามครับ

    เบอร์ไหนเป็นชนิดไหน ต้องถามผู้ผลิต ซึ่งจะจัดเป็นกลุ่ม(เบอร์)หัวร้อน, กลุ่มหัวเย็น

    ...และที่ผมเปลี่ยนมาก็ดูเบอร์เดิมละครับ


หัวข้อ: Re:ขอขายล้อกงจักร 15" เดิมครับ
เริ่มหัวข้อโดย: commuter ที่ วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2014 เวลา 00:42:48
ต้องการขายแม็ก กงจักร เดิมติดรถ 406 ครับ ขอบ 15" ( แม็กอย่างเดียว ) 5,000 บาทครับ สนใจติดต่อ 081-3846841 มลครับ ของอยู่ ซ.แบริ่ง สำโรงครับ :bye bye:


หัวข้อ: Re: หัวเทียนร้อนกับหัวเทียนเย็นคืออะไรเหรอครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Custom-Man ที่ วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2014 เวลา 09:40:45
หัวเทียน "เย็น-ร้อน" เลือกอย่างไรดี



   หัวเทียนร้อน ก็คือ ตัวมันเองจะระบายความร้อนออกได้ช้า เมื่อเราใช้งานจริงในห้องเผาไหม้มันมีความร้อนจากการจุดระเบิด เมื่อหัวเทียนรับความร้อนนั้นมา จะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่หัวเทียนอยู่อย่างนั้น

   หัวเทียนเย็น ก็คือ... ตัวมันสามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็วกว่าหัวเทียนร้อน แต่ใช่ว่าจะหายร้อนเลยนะ อย่างนั้นไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว หัวเทียนจะมีความร้อนสะสมอยู่ระดับหนึ่ง เพื่อให้แห้งตลอดเวลาเป็นทั้งหัวเทียนร้อนและหัวเทียนเย็น เพียงแต่ว่าหัวเทียนเย็น จะถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง

   การเลือกใช้งาน ผมลองยกตัวอย่างรถที่วิ่งใช้งานในเมืองทุกวัน วิ่งช้าตลอกเวลา คลานกระดึ๊บ ๆ ไปเรื่อย รถพวกนี้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะต่ำมาก ซึ่งในสถานการณ์นี้ควรเลือกใช้ "หัวเทียนร้อน" เพราะว่าเราต้องการระบายความร้อนช้า ๆ เพื่อเก็บความร้อนสะสมไว้ ไม่ให้ "หัวเทียนบอด...!" ไงจ๊ะ

   กลับกัน ถ้าเป็นรถที่ใช้ ความเร็วสูงมาก ๆ ถ้าเราใช้หัวเทียนร้อน มันจะทำให้ระบายความร้อนไม่ทัน อาจสร้างความเสียหายได้ต่าง ๆ นานา เช่น หัวเทียนละลาย กระเบื้องแตก และเกิดอาการชิงจุดระเบิด ก็เป็นได้ "คือหัวเทียนมันร้อนเกินไป มันก็เหมือนโลหะเผาไฟร้อนแดง เมื่อมีไอดีเข้ามา มันเป็นเชื้อเพลิงพร้อมที่จะจุดระเบิด พอมากระทบตัวหัวเทียนปุ๊บ ซึ่งมันยังไม่ทันถึงจังหวะจุดระเบิด มันก็ชิงจุดระเบิดทันที จากความร้อนสะสมของหัวเทียน"


   ซึ่งรถที่ใช้ความเร็วตลอดควรเลือกใช้ "หัวเทียนเย็น" เพื่อการระบายความร้อนจะดีกว่า เราต้องใช้งานให้ถูกประเภท

   รถแต่งเครื่องซิ่ง มันจะมีความร้อนสูงมากกว่าเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป ซึ่งเครื่องยนต์ประเภทนี้เป็นเครื่อง "Over Lap" มาก จุดระเบิดไม่ค่อยดีในรอบต่ำ หัวเทียนที่ใช้จึงเป็น หัวเทียนเย็น เสมอ

   แต่ถ้าเรานำเครื่องซิ่งวิ่งผิดที่ (ในเมือง) อันนี้ก็ต้องจบข่าว "ผิดแผน" กันไป เพราะเครื่องประเภทนี้มันต้อง "เหนี่ยว" อย่างเดียว แต่ถ้ามาวิ่งผิดที่ รับรองวิ่งไม่ได้เลย เพราะเครื่องซิ่งเหล่านี้ ส่วนมากรอบต่ำมันวิ่งไม่ค่อยดีแล้ว ยิ่งเจอรถติดในเมืองอีก รับรองไม่รอด "บอดสนิท" ซึ่งถ้าจะมาใช้ในเมืองจริง ๆ คงต้องเปลี่ยนเป็นหัวเทียนร้อน แทน

   ส่วนเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป ควรใช้เบอร์หัวเทียนให้ตรงกับที่ผู้ผลิตกำหนดมา และ และควรตรวจสอบทุก ๆ 10,000 กิโลเมตรครับ

หากรถธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แต่งจูนให้แรงหรือเพิ่มไฟเกินสเป็ค เราก็ต้องใช้หัวเทียน Heat Range ต่ำๆ
หรืออย่างที่เรียกว่าหัวเทียนร้อน คือตั้งแต่เบอร์ 7 ลงมา
หากเป็นรถจูนกล่องปรับบูท เพิ่มไฟก็จำเป็นที่ต้องใช้หัวเทียนที่ระบายความร้อนได้ดี มีค่า Heat Range สูงๆ
อย่างหัวเทียนเย็น ที่มีเบอร์กำหนด ตั้งแต่เบอร์ 8 ขึ้นไป

ห้องเผาไหม้ของรถที่ใช้แก๊ส (LPG) จะร้อนกว่ารถใช้น้ำมัน
เนื่องจาก แก๊ส ให้ค่าความร้อนสูงกว่าน้ำมันมากครับ

หัวเทียนเริ่มจากเบอร์ปกติ ถ้าใช้ได้ดี ก็ไม่ต้องเปลี่ยน
ถ้ายังมีอาการสะดุดหรือ Back fire ก็เพิ่มเบอร์ขยับไปใช้หัวเทียนเย็น อย่าง 8 - 9

Credit marketatnation & AE club thailand


หัวข้อ: Re: หัวเทียนร้อนกับหัวเทียนเย็นคืออะไรเหรอครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mixkeymouse ที่ วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2014 เวลา 12:26:50
หัวเทียน "เย็น-ร้อน" เลือกอย่างไรดี



   หัวเทียนร้อน ก็คือ ตัวมันเองจะระบายความร้อนออกได้ช้า เมื่อเราใช้งานจริงในห้องเผาไหม้มันมีความร้อนจากการจุดระเบิด เมื่อหัวเทียนรับความร้อนนั้นมา จะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่หัวเทียนอยู่อย่างนั้น

   หัวเทียนเย็น ก็คือ... ตัวมันสามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็วกว่าหัวเทียนร้อน แต่ใช่ว่าจะหายร้อนเลยนะ อย่างนั้นไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว หัวเทียนจะมีความร้อนสะสมอยู่ระดับหนึ่ง เพื่อให้แห้งตลอดเวลาเป็นทั้งหัวเทียนร้อนและหัวเทียนเย็น เพียงแต่ว่าหัวเทียนเย็น จะถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง

   การเลือกใช้งาน ผมลองยกตัวอย่างรถที่วิ่งใช้งานในเมืองทุกวัน วิ่งช้าตลอกเวลา คลานกระดึ๊บ ๆ ไปเรื่อย รถพวกนี้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะต่ำมาก ซึ่งในสถานการณ์นี้ควรเลือกใช้ "หัวเทียนร้อน" เพราะว่าเราต้องการระบายความร้อนช้า ๆ เพื่อเก็บความร้อนสะสมไว้ ไม่ให้ "หัวเทียนบอด...!" ไงจ๊ะ

   กลับกัน ถ้าเป็นรถที่ใช้ ความเร็วสูงมาก ๆ ถ้าเราใช้หัวเทียนร้อน มันจะทำให้ระบายความร้อนไม่ทัน อาจสร้างความเสียหายได้ต่าง ๆ นานา เช่น หัวเทียนละลาย กระเบื้องแตก และเกิดอาการชิงจุดระเบิด ก็เป็นได้ "คือหัวเทียนมันร้อนเกินไป มันก็เหมือนโลหะเผาไฟร้อนแดง เมื่อมีไอดีเข้ามา มันเป็นเชื้อเพลิงพร้อมที่จะจุดระเบิด พอมากระทบตัวหัวเทียนปุ๊บ ซึ่งมันยังไม่ทันถึงจังหวะจุดระเบิด มันก็ชิงจุดระเบิดทันที จากความร้อนสะสมของหัวเทียน"


   ซึ่งรถที่ใช้ความเร็วตลอดควรเลือกใช้ "หัวเทียนเย็น" เพื่อการระบายความร้อนจะดีกว่า เราต้องใช้งานให้ถูกประเภท

   รถแต่งเครื่องซิ่ง มันจะมีความร้อนสูงมากกว่าเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป ซึ่งเครื่องยนต์ประเภทนี้เป็นเครื่อง "Over Lap" มาก จุดระเบิดไม่ค่อยดีในรอบต่ำ หัวเทียนที่ใช้จึงเป็น หัวเทียนเย็น เสมอ

   แต่ถ้าเรานำเครื่องซิ่งวิ่งผิดที่ (ในเมือง) อันนี้ก็ต้องจบข่าว "ผิดแผน" กันไป เพราะเครื่องประเภทนี้มันต้อง "เหนี่ยว" อย่างเดียว แต่ถ้ามาวิ่งผิดที่ รับรองวิ่งไม่ได้เลย เพราะเครื่องซิ่งเหล่านี้ ส่วนมากรอบต่ำมันวิ่งไม่ค่อยดีแล้ว ยิ่งเจอรถติดในเมืองอีก รับรองไม่รอด "บอดสนิท" ซึ่งถ้าจะมาใช้ในเมืองจริง ๆ คงต้องเปลี่ยนเป็นหัวเทียนร้อน แทน

   ส่วนเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป ควรใช้เบอร์หัวเทียนให้ตรงกับที่ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ กำหนดมา และ และควรตรวจสอบทุก ๆ 10,000 กิโลเมตรครับ

หากรถธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แต่งจูนให้แรงหรือเพิ่มไฟเกินสเป็ค เราก็ต้องใช้หัวเทียน Heat Range ต่ำๆ
หรืออย่างที่เรียกว่าหัวเทียนร้อน คือตั้งแต่เบอร์ 7 ลงมา
หากเป็นรถจูนกล่องปรับบูท เพิ่มไฟก็จำเป็นที่ต้องใช้หัวเทียนที่ระบายความร้อนได้ดี มีค่า Heat Range สูงๆ
อย่างหัวเทียนเย็น ที่มีเบอร์กำหนด ตั้งแต่เบอร์ 8 ขึ้นไป

ห้องเผาไหม้ของรถที่ใช้แก๊ส (LPG) จะร้อนกว่ารถใช้น้ำมัน
เนื่องจาก แก๊ส ให้ค่าความร้อนสูงกว่าน้ำมันมากครับ

หัวเทียนเริ่มจากเบอร์ปกติ ถ้าใช้ได้ดี ก็ไม่ต้องเปลี่ยน
ถ้ายังมีอาการสะดุดหรือ Back fire ก็เพิ่มเบอร์ขยับไปใช้หัวเทียนเย็น อย่าง 8 - 9

Credit marketatnation & AE club thailand