Vlovepeugeot ชมรมคนรักเปอโยต์ (เปอร์โยต์) ประเทศไทย

ในตอนเด็กย้อนไป 15 ปีที่แล้วรถที่เห็นแล้วสะดุดตามากๆ ก็คือ 405 จะว่าไปตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าคำว่าสวยและลงตัวอย่างมาก :Oooops:
ปี 2544 ผมก็อยากได้รถ 405 ตอนนั้นรถ 405 GR ราคาอยู่ที่ 150,000-200,000 บาท ส่วน Mi16 ไม่ต้องพูดถึง 200,000-300,000 บาท  :Aah:

Peugeot คันแรกของผมก็เลยเป็น 405 GR เกียร์  Auto ซื้อมาในราคา 165,000 บาท โดนค่าซ่อมไป 95,000 บาท นึกแล้วมันก็ช้ำ เล่าไปก็ขำตัวเองครับ ตอนนั้นเพิ่งจะเปิดเว๊บแรกๆๆ เลย

หลังจากนั้นก็เริ่มค้นหาตัวเอง จากการได้ขับ 405 GR ความชอบคือช่วงล่างดี และเกาะถนนดีมากๆๆ ต่อมาคันแรกต้องขายไปเพราะเล่นต่อไม่ไหว และจำเป็นต่ออาชีพของตัวเอง (ตอนนั้นเปิดโรงพิมพ์) เลยได้รถกระบะมาใช้

หลังจากนั้นก็ได้ซื้อ 405 GR เกียร์ธรรมดาสีขาวมาใช้ เครื่องเดิม 1900 ซีซี ขับถึง 190 บนทางด่วนลอยฟ้าบางนา (แต่โดน cerfiro V6 แซง อิอิอิ เข้าใจว่าเค้าคงวิ่ง 200 กว่า) มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนๆที่ขับ mi16 ทั้งคุณสิงห์เฒ่า คุณเคน คุณ Woody และอีกหลายท่าน ได้มีโอกาสเอา mi16 มาใช้อยู่ช่วงสั้นๆ  2 วัน จากคุณเคน ทั้งนี้เพราะรถซ่อมอยู่ในอู่ไม่มีรถใช้
หลายคนไม่เชื่อว่าเกษตรตัดใหม่ ผมเหยียบ  160 บี้บกับเบนซ์ตากลมจนแยกกันที่ 190 เพราะผมเลี้ยวขวา แต่เบนซ์ตรงไป เป็นไปได้เหรอว่าเหยียบถึง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาแค่ 8.7-8.8 วินาทีเองนะครับ
0-402 เมตร ได้ 16.7
มันยอดมากๆ กับรถเครื่องเดิมๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร จะวิ่งดีขนาดนี้ นั้นเลยยิ่งทำให้อยากได้ Mi16 มากยิ่งขึ้น  :HoHo:

ความสนุกตรงนี้ สิงห์เฒ่า เคยขับไปเล่นแรลลี่กับทาง Peugeot ด้วยความเร็ว 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเวลามัน late ไปหมด สิงห์เฒ่าชนะแรลลี่สะด้วย ได้ถ้วยไปครองสมใจ ตอนนั้นไม่ได้มองเข็มไมล์ ก็ไม่ได้คิดว่าจะวิ่ง 190 หรอกนะ แต่พอดูแล้วก็อืมๆๆๆ

:Redcard: เคยได้มีโอกาสได้นั่งรถที่เอียชาติชายขับนะครับ วิ่งได้สนุกสนานจริงๆ กับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ผิดกฎหมายนะครับ ความเร็วเกินกำหนด แต่ขอลองนะครับคุณตำรวจ) 

จากนั้นก็ได้มีโอกาสได้ลองความแรงของ Mi16 อีกหลายๆ ครั้ง ใครที่คิดว่ามันก็แค่หน้าตาเหมือน GR แต่มี 160 ม้า แรงบิด 18.6 ละก็คิดผิดถนัด ช่วงล่างและการรองรับหลายๆ อย่างที่แตกต่างกัน
 ใครที่บอกว่า GR SRi GRi หนึบ  ตัวMi16 หนึบยิ่งกว่า ใครบอกว่า GR  SRi GRiเกาะ  ตัวMi16 เกาะกว่า
ใครบอก 406 เกาะแล้วละก็ มานั่ง Mi16 ก่อนจะเปลี่ยนใจ
นี้ละมังคงเป็นเหตุให้เอียชาติชาย ซื้อ Mi16 ไว้ 4 คัน (ส่วนตัว 3 คัน อีกคันของน้องชาย)

คำถามที่ผมคิดต่อมาคือ เอ้ยมันซ่อมยากหรือเปล่า และอะไหล่แพงไหม.....
ตอนแรกๆ ก็คิดว่าแพงนะครับ แต่ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด
ซ่อมยากไหม ผมก็บอกว่าตอนแรกก็กลัวๆ เหมือนกัน แต่เมื่อศึกษาดีแล้ว Mi16 เป็นเครื่องที่ต้องระวังแค่ สายพาน timing เท่านั้นเอง (เปลี่ยนให้ตรงกำหนดนะครับ) ตัวเครื่องทนมากๆ นอกนั้น แทบจะทำเองซ่อมเองได้ทั้งหมด (โง่ๆ อย่างผม ที่ความช่างกลางๆ ยังพอซ่อมได้นะครับ 555)
อ้ออีกสิ่งที่น่ากลัวก็พวกท่อน้ำ เพราะเครื่อง Mi16 มันร้อนจริงๆ นะจ๊ะ
สิ่งที่ทำให้ความกลัวตรงนี้หายไปคือ เอียชาติชาย พี่ฤทธิ์ พี่ปิยะ และอีกหลายท่าน นับถือ นับถือ

เดียวมาเล่าต่อเรื่องความมันของ S16 และ 605 V6 3 ลิตร

ใครที่ใช้ Mi16 อยู่ก็มาเล่าต่อจากผมได้นะครับ

อ่านที่พี่ภณเขียนแล้วก็ให้นึกถึงพวกนักเขียนมืออาชีพเลยนะครับ
มันหยดย้อยจริง ๆ
 เมือ่ไรมาต่อภาคสองครับ

มาปาด..แซงด้วยเรื่องเล่าของ S16 ก่อน ในชีวิตนี้เคยขับสองคัน คันแรกสีดำ และคันที่สองสีเงิน  บุญไม่มีจริงๆ ซื้อสีดำเสร็จได้ไม่นาน...มาเจอคันสีเงิน..ที่แจ่มกว่า เหนือกว่า ช้ำน้อยกว่า แถมถูกกว่าอีก...เฮ้อ

เอา S16 สีดำไม่ติดสัญชาติและรุ่นรถ ขับไปประชุมที่พัทยา ก็ขับไป 120 สบายๆ ขับไปคิดไปเพราะต้องไปพูดให้ฝรั่งฟังเลยซ้อมไปในรถด้วย ...มารู้สึกตัวอีกทีมีแจ๊สมาประกบท้าย อีกข้างก็ว่างนี่หน่าทำไมไม่แซงไป มาต่อก้นเราทำไม ก็เลยค่อยๆ ไล่ความเร็วขึ้นเรื่อย 120 130 140 150 เอ..ก็ยังไล่เรามาอีก...คราวนี้ สลัดเรื่องงานออกจากหัวชั่วขณะ สงสัยอยากเล่นด้วย ก็เลยกดไปเรื่อย 150 160 170 175 ไม่ถึง 180 ก็ทิ้งขาด คันนี้รอบตัดที่ 7500 รอบ   แล้วก็ผ่อนๆๆ มาคิดงานต่อ ซักพักก็เห็นคันเดิมตามไล่มาประกบอีก..แต่ไม่เล่นด้วยแล้วลดความเร็วมาที่ 120 ดังเดิม จะคิดเรื่องงาน เลยหลบให้ไปไปซะ

ซื้อมาซ่อมไปหกหมื่น ใช้ได้หกเดือน..น้องก้องมารับไปเลี้ยงต่อ ....ทีนี้ 230 เลยครับพี่น้อง...ต้องรอเจ้าตัวมาตอบว่าทำอะไรไปบ้าง

ปล. ตอนนี้ขับรถทิด้าจ่ายตลาด แตนๆ ไม่มีแต่งเลย

ส่วนตัวเคยใช้รถมาหลายคัน พอได้มีโอกาสขอยืม Mi16 ของพี่ชายมาขับ ก็รู้สึกหลงไหลเลยครับ ขนาดตอนนั้นใช้ Mazda 323 Astina ตาตี่ป้ายแดง แต่งช่วงล่าง ลงยางแล้ว ที่เคยคึดว่าหนึบยังต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้จริงๆครับ ขนาดขอเอาป้ายแดงแลกกับ Mi16 ของพี่ชาย พี่ยังไม่ยอมแลกเลยครับ แต่สุดท้ายเนื้อคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วคลาดครับ ได้มาจากพี่ชายในที่สุดจนปัจจุบันครับ ความรู้สึกที่ว่าหนึบนี่บอกไม่ถูกครับ ประมาณว่าเหมือนตัวรถมันผนึกรวมไปกับพื้นถนน คล้ายๆรถไฟเหาะในสวนสนุกที่ไม่ว่าจะเหวี่ยงยังไงก็ยังรู้สึกว่ามันแนบไปกับรางตลอดครับ และด้วยความเป็นรถช่วงชักยาว ความรู้สึกในการตอบสนองรอบกลางๆถึงสูงๆนี่มันซาบซ่านจริงๆครับ เสียงครางของ Mi16 ที่รอบเกิน 6000 นี่หวานอย่าบอกใครเลย ท่านที่ใช้อยู่คงทราบดีนะครับ เทคโนโลยีของฝรั่งเศสเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว สามารถทำเครื่องยนต์อัลลอยด์ NA ที่เข่นม้าดิบๆลงพื้นได้ 160 ตัว กับแรงบิดเกือบ 20 กก.ม นี่ไม่ธรรมดาเลยครับ ปัญหาเดียวที่มีก็คือคลัทช์สายเพียวๆที่คนขับต้องออกแรงสู้แรงกดหวีคลัทช์ของเครื่องแรงบิดสูงๆนี่ ต้องออกแรงพอสมควรเลยครับ เจอรถติดๆถึงกับขาซ้ายชา แต่อย่างไรก็ตาม Mi16 เป็นรถที่เอาไว้ขับเอาสนุกมากกว่าที่จะเป็นเพียงยานพาหนะครับ

เอารูปสิงห์เฒ่ามาให้ดูสักหน่อย ตอนนี้มัวแต่เลี้ยงลูกอยู่นะครับ
(http://www.vlovepeugeot.com/image/meeting1/Image_13.jpg)


เอารูปคุณเคนเจ้าของ mi16 ที่ให้ผมไปวิ่งเล่นนะครับ
(http://www.vlovepeugeot.com/image/meeting1/mi16abc.jpg)

ขอเล่าเรื่อง Mi16 ต่ออีกสักหน่อยครับ เพิ่งนึกได้ว่ายังเล่าไม่จบ  :love:

Mi16 ทำไมต้องเป็น Mi16 ทำไมไม่ชื่อ M-16 ไปสะเลยละ อันนี้ผมเคยสงสัยเหมือนกัน
บางท่านอาจจะเข้าใจเป็น Multi-point Injection 16 Valve บางหรือเปล่า
ส่วนใหญ่ที่เข้าใจ จะเป็นว่า Mi16 เป็นเชื่อที่เรียกย่อมาจาก "motronic injection - 16 valve"
แต่ก็ไม่ผิดทั้งคู่นะครับ เมื่อดู spec แล้วจะร้องอ้อ  :ooh:
Fuel system    
System type: Bosch M1.3 or ML4.1 Motronic, multi-point
ECU : 0-261-200-119
Fuel pump type : Electric, externally
Fuel pump : Bosch 0-580-464-038
Fuel regulated pressure : 3.0 +/-0.2 bars at idle
Fuel injectors : Bosch 0-280-250-762 (high impedance) - rating: 214cc/min @ 3.0 bars
Fuel type (recommended) : 98 RON leaded
Air Flow Meter : Bosch 0-280-202-202

เอาน่าแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเท่ากับตัวตนของมันหรอก
คันเก่าผม 405 GR แต่ติดข้างหลังเป็น Mi16 เคยโดนพวก Mi16 จริงมาท้าแข่งแล้ว แต่5555 ไปเถอะนะ นี่มันเครื่อง GR 1900 เองจ้า

ประสบการณ์ที่ผมชอบมากที่สุดตอนครั้ง Meeting ครั้งที่ 2 ที่แดนเนรมิตเก่า หรือเรียกชื่อใหม่ว่า Motorsport Land นะครับ สิงเฒ่าโชว์พลังของ Mi16 ให้เห็นว่ามันสุดยอดแค่ได้ ส่วนความหนึบนั้นไม่ต้องห่วงครับ มันกระชากได้ใจกับเครื่องเดิมๆ  (อย่าเทียบกับเครื่อง Turbo นะ) เลี้ยงรอบให้ได้ 4000 รอบโดยประมาณ เสียงหวานๆ ของมันและแรงบิดก็จะมาให้เราเล่นอย่างสนุกสนาน

น่าเสียดายที่ของแต่งดีๆ หลายๆ อย่างไม่ได้มาถึงเมืองไทยเลย ถึงมีก็มีติดรถเก่าเชียงกงมาบ้าง
แต่ก็มีของแต่งหลุดมากจากสุรวงศ์บ้างครับ ตัวอย่างเช่น chip แต่งของ Mi16 เสี่ย Boat ให้เอียชาติชายมา รอบตัดที่ 7500 รอบต่อนาทีแทนที่จะตัด 7000 รอบต่อนาทีครับ

อย่างแคมแต่งๆ ดีๆ นั้นราคาก็เป็นหมื่นแล้วละครับ ค่าเงินมันก็เทียบกันลำบาก
เมืองนอกก็มีพวกบ้าๆ เยอะ ที่ทำให้ผมเห็นแล้วน้ำลายไหล เครื่องเดิม 160 ม้า ทำได้ 220 ม้าก็ OK แล้วใช่ไหม  ไม่นับ T16 นะครับ แต่พวกบ้าๆที่ต่างประเทศเล่นกันได้ถึง 400 ม้าครับ :o อึ้งๆ เลย แต่นั้นบล็อกเหล็ก XU10J4 อัด Turbo

เดียวจะยิ่งไปกันใหญ่ กลายเป็นแต่งรถไปเสียแล้วสิเรา 5555

เอาเป็นว่ารถเดิมๆ ที่วิ่งได้ดีขนาดนี้ในตลาดตอนนี้ ราคา 1.5 ล้านครับ ความรู้สึกในการขับก็ไม่ดีเท่า
ในขณะที่รถ Mi16 สภาพดีๆ ราคา 150,000-200,000 บาท  ราคาต่างกัน 10 เท่า ฟ้ากับเหว
(พวกสภาพแย่ก็มี 80,000-100,00 แต่อย่าคิดเชียวถ้าคุณยังไม่ได้คุยกับกลุ่ม WonZon ไม่งั้น คุณอ๊วกแน่ๆๆ)
มันอาจจะเป็นรถเก่าก็จริงแต่ด้วยราคาที่จ่ายเท่านี้ มันคุ้มค่าที่สุดแล้วละ

อ้อหลายคนคงคิดว่า Mi16 คงจะกิน(แดก)น้ำมันน่าดู จากการที่ถามเพื่อนแล้ว
ขับแบบประหยัดๆ ได้ 9-12 กิโลต่อลิตร ในเมืองนอกเมือง
ขับแบบโหดๆ ได้ 9-10 กิโลต่อลิตร ในเมืองนอกเมือง วิ่ง 160-200 นะเนี่ย  :P
อย่าตกใจว่าผมเขียนผิดหรือเปล่า 55555 ผมก็งงเหมือนอะไรหว่าทำไมอัดแล้วไม่แตกต่าง อันนี้ต้องถามพี่ woody นะ
เพราะพี่ท่านขับประหยัดอยู่ตั้งนาน มารู้ความจริงว่าอัด กับไม่อัด กินน้ำมันไม่ต่างกันเลย แต่ความมันคนละเรื่องนะครับ 555

เดียวมาเล่าเรื่องมันๆ ของ S16 กันครับ แอบใบ้ว่าน้องก้องไล่บี้ผมอย่างเมามัน

หวังว่าในอนาคต ผมคงได้มา 1 คัน

ถ้าหาไม่ได้ก็ gri ลง mi - 16 version 2 ไปเลย

แล้วจับรื้อช่วงล่างใหม่

หลังจากนั้นก็เอาไปทดสอบความปลอดภัย

แล้วก็ไปลงว่าเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ในทะเบียนใหม่ซะ

อยากรู้เหมือนกันว่า  ถ้าทำแล้วจะเรียกรุ่นอะไรดี

บอดี้ GRI
ภายใน SRI
เครื่อง MI - 16
แผงฝาท้าย GR
สปอยเล่อร์ T - 16
กระจังหน้า 406

เรียกว่า "40X XX" ครับ อ่านแล้วคิดถึงอย่างอื่นมากกว่า เพราะมีตั้ง 3 เอ๊กซ์

ลองตั้งชื่อเล่นๆดีกว่า

มี G,S,R,I,M,T,16,406

ได้เป็น 405 รุ่น 406 SGRIMT - 16

รุ่น 406 สกริมท์ 16

เพิ่งทราบที่มาของ Mi16 วันนี้เอง

 O0 O0 สุดยอดมากครับพี่

โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยสนใจอัตราเร็วปลาย เพราะมันไม่มีอารมณ์เมามันเลย มันเร็วแต่ไม่มีแรงกระชาก ผมชอบความรู้สึกตอนเร่งจากอัตราเร็วคงที่หนึ่งไปที่อีกอัตราเร็วหนึ่งที่สูงกว่า หรือที่คนชอบเรียกว่าแรง G ซึ่งผมก็งงว่ามันเกี่ยวกับแรง G ตรงไหน องค์ประกอบที่สร้างอารมณ์สนุกในการขับรถ เช่นเสียงเครื่องที่ลอดเข้ามาให้ได้ยิน Peugeot เป็นรถธรรมดาๆที่ทำได้ดี แต่อีกหลายยี่ห้อที่ทำอัตราเร็วปลายได้สูงกว่าเปอร์โยต์ แต่กลับไม่มี feeling ตรงนี้  บางคันช่วงล่างและการเก็บเสียงทำได้ดีมาก จนคนขับไม่มีอารมณเลย อย่าง Land Cruiser V8  เครื่องเกือบ 5000 cc ผมวิ่งไปที่160-170 แล้วแต่เหมือนรถมันยังย่องๆอยู่เลย ช่วงล่างเก็บการกระเทือนหมด เครื่อง V8 ไม่ได้ยินเลยว่ามันทำงานอยู่หรือเปล่าเงียบมาก ไม่มีแรงกระชากแต่เร็วมาก เร่งนี่วิ่งจาก 100-160 แบบแว๊บเดียว เหมือนเครื่องบินอ่ะ บิน 900 ไมล์ต่อชั่วโมงบนอากาศแต่คนโดยสาร ไม่รู้เรื่องเลย วางแก้วน้ำไว้มันยังนิ่งสนิทบนเครื่องบินนะ ขากลับบ้านเลยโยนให้เพื่อนที่เป้นเจ้าของรถขับ บอกเอ็งขับเหอะรถอะไรวะ ไม่มีอารมณ์เลยซื้อมาตั้งแพง

605 V6 ขับดี สบาย หรู แต่ขับไม่สนุกครับ 0-100 8.8วินาที เหมือนพี่ old big บอกเลยครับ

ไว้เดียวเล่าเรื่อง S16 เสร็จแล้วจะเล่า 605 V6  ต่อนะ อิอิอิอิ

แล้วเจ้าของ s -16 นี่ ......บวชเสร็จหรือยังครับ

ถ้าบวชอยู่ พี่ปอนด์ไป....... เดี๋ยวจะบาปได้นะ 55++

สึกไปแล้วครับ

อิอิ มาร่วมฟังตำนาน ที่มีชีวิตอย่าง MI16 และ S-16

สุดยอดดดดดดดดดดดด

ส่วนตัวผมชอบ Mi 16 แต่ที่ไม่ชอบอย่างเดียว คือ คอนโซนหน้าปัดครับ ผมชอบของ Sri มากกว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากได้ Mi 16 แต่เปลี่ยน

คอนโซนหน้าปัด เป็นของ Sri คง สวนน่าดู แบบอยากได้ Mi 16 มาอยู่ในการครอบครองเหมือนกันครับ

ถ้าชอบคอนโซล sri ก็เป็น MI16 version 2 เลยค่ะ

บอดี้เหมือน sri คอนโซลก็ sri อีกนั่นแหละ แต่เครื่องเป็นตัวเดียวกับที่อยู่ใน 306s16

ได้มางามเลยนะครับ แต่คงต้องลงอีก 5-8 หมื่นน่าจะจบนะครับ

mi16 มีแค่ 260 คัน เห็นบอกว่ามี มากว่า 260 คัน แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหนบ้าง

แต่คันที่ 260อยู่กับ เอียชาติชาย อะนะ ยังเขียนต่อไม่จบเดียวมาเรานะ S16

เฉพาะในไทยเหรอครับ

คุณชาติชาย ที่พูดถึงคือคนที่มี Mi16 4คัน (เห็นว่าอาจจะมีเพิ่มอีกคัน แต่เปลี่ยนใจไม่เอา) 406 2คัน  เครื่อง Mi16 3 เครื่อง และอะไหล่อื่นๆอีกเพียบ และบ้านอยู่แถวมหาชัยใช่ไหมครับ  ถ้าเป็นคนเดียวกันยอมรับว่าแกรักจริงกับเปอร์โย   O0 O0

คนเดียวกันครับ มี 406 V6 ในครอบครองอยู่ด้วยอีกคันครับ 55555
นับแล้วคงมี สิงห์อยู่ในบ้าน  7 คัน และบ้านญาติ มี ฝูง 505 7 คัน วิ่งได้ 5 คัน 2 คันเป็นอะไหล่ครับ

สุดยอดไหมละครับ 5555 รวมแล้ว 12 คันจ้าๆๆๆๆ :P

มาถึงตัวแรงอีกตัว 306 S16 จริงแล้วมีตัวแรงกว่าคือ 306 Gti6 ครับแต่เมืองไทยไม่มีจำหน่าย แต่มีคนวางเครื่องตัวนี้ครับ คันนั้นเจ้าคือน้อง AkeS16 ครับ ส่วนคันที่จะกล่าวถึงนั้น น้องก้องผู้ครอบครอง306 S16 ต่อจากพี่ใหม่ และจาก Aim motorsport

306 S16 เป็นเครื่อง XU10J4  ซึ่งมีเพียง 155 ม้าเท่านั้นเองครับ แรงบิดมี 19.0/3500 (kg.m/RPM) มารอบต่ำกว่า Mi16 แต่ม้าน้อยกว่า แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างไรในการที่มันจะเป็นรถแรงคันหนึ่ง

เนื่องจาก S16 (ขอเรียกสั้นๆแล้วกันครับ) ได้เปรียบตรงที่รูปร่างหน้าตาออกมาใหม่กว่า และโดดเด่นด้วย รูปลักษณ์ 3 ประตู จึงทำให้สามารถครองใจผู้พบเห็นได้โดยไม่ยากนัก จริงมี 2 โฉมนะครับ เมืองไทยจะเป็นโฉมแรก ซึ่งคนที่เล่นสวยใหญ่ก็อยากโฉม 2 กันนะครับ เพราะสวยจริงๆ ครับ

แต่ S16 ก็มีจุดใหญ่ที่นักเล่นหลายคนต้องบ่นเหมือนกัน โดยเฉพาะตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นท่อไอดีที่ทำออกมาแล้วเหมือนลวกๆ ต้องมาค่อยนักตะไบออก ลบเหลี่ยมออกบ้าง และยังมีอีกหลายจุด ใครอยากรู้ไปถามคนใช้ S16 เอาแล้วกัน ผมไม่อยากปล่อยไก่ (ฮา) แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นจุดใหญ่อะไรที่ทำให้ S16 ไม่แรง เพราะถ้าทำหลายจุดนั้นแล้ว ก็คงได้มาอีกสัก 2-3 ม้าเป็นแน่แท้  ไม่ได้หมายรวมถึงขัดพอร์ทนะครับ แต่ถ้าเวลาเหลือเยอะ ถอดมาทั้งท่อไอดี ไอเสีย มาขัดสักหน่อย ก็คงได้ความลื่นอีกเยอะครับ

ความเร็วและแรงของมันก็ทำให้ mini จ้อยไปได้เหมือนกันครับ ส่วน mini รุ่นไหนคงต้องไปถามน้องก้องนะ เพราะน้องเค้าสอย mini ซ่าส์ ร่วงไปคันนะครับ เรียกว่าคนขับ mini มองหน้าครับ หนีกันไม่ออก

ตอนนั้นเคยไปทานข้าวกันขากลับก็เจอน้องก้องไล่บี้ วันนั้นผมเอา Jazz ไป IDSI เกียร์ธรรมดา ไล่บี้กับน้องก้องครับ อืมๆ ต้องใช้คำใหม่ถึงจะถูก โดนน้องก้องไล่บี้ที่ความเร็ว 170 ทั้งนี้ Jazz มันก็ได้เท่านี้แหละครับ เริ่มจากออกตัวก็ไล่เกียร์กันไปนะครับ อัตราเร่งคงไม่ต้องพูดถึงครับ iDSI 0-100 10.8 วินาทีเห็นจะได้ ซึ่ง S16 ก็กินได้ไม่ยากนัก ดีนะที่แฟนผมไม่ได้ไปด้วย ไม่งั้นโดนด่าแน่ๆ แต่การไล่บี้ครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ เพราะเกือบจะเกิดอุบัติเหตุเพราะผมไม่รู้ทาง
ตอนนที่วิ่งอยู่ 170 ต้องรอดใต้สะพานข้ามคลองเล็กๆ ผมแค่แตะเบรกเล็กน้อย  แต่เบรกก็เฟส แล้วนะครับ คิดว่าเป็นเลนเดียว แต่ที่ไหนได้เป็นเลนสวน เกือบประสานงาแล้ว  ดีว่ามีช่องว่างเหลืออยู่ประมาณ 2 ช่วงคันรถ ถ้าไม่มีช่องเหลือผมก็คงเจ็บหนักแน่ๆ อันนี้เป็นตัวอย่างไม่ดีเลยครับ

ลองคิดกันเล่นๆ S16 กับ Mi16 มาออกจากจุดหยุดนิ่ง คันไหนละที่จะได้เปรียบ....... ลองคิดกันดูนะครับแล้วจะมาเฉลยต่อ........

คำตอบสำหรับคราวที่แล้วนะครับ คือ S16 กับ Mi16 เดิมๆ ใน ( S16 เครื่อง 2000 XU10J4 กับ Mi16 เครื่อง 1900 XU9J4 ) จากจุดหยุดนิ่ง Mi16 ชนะแค่  0.1 วินาทีครับ 555 แต่ในความเป็นจริงแล้วแทบไม่ต่างกันเท่าไรนัก

S16 ได้เปรียบแน่ๆ เรื่องแรงบิดที่มาเร็วกว่าพอควร ทำให้มีแรงฉุดกระฉากได้ดีกว่า แต่ม้าที่น้อยกว่านั้น 5 ตัวก็เป็นจุดที่หักล้างกันไป แต่ไง เครื่อง S16 (Mi16 V2) ก็โมแต่งได้เยอะกว่า (ในเมืองนอกโน้นนะ)

เอาละเรามาดูรถที่เรียกว่าตำนานอีกคัน (“ตำ” “นาน” นี่แสดงว่าเกิน 10 นาที 555) 306Gti6 จริงๆ แล้ว 306Gti6 ไม่ได้มีจำหน่ายในประเทศไทยหรอกนะครับ ไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใด  สิ่งที่ทำให้แตกต่างอย่างชัดเจนที่สุดคือ มี 6 เกียร์ครับ และกำลังเครื่องที่มากขึ้น ตอบสนองดีขึ้น (ใครอยากอ่านให้จุใจก็ไปอ่านใน http://www.306gti6.com นะครับ)

ด้วยแรงม้า 167 ม้า แรงบิด 197 นิวตันเมตร ที่ 5500 รอบต่อนาที ก็ทำให้ 306 ทะยานจาก 0-60 mph ด้วย 7.9 วินาที (คำนวณเอาเองนะ อิอิอิอิ) และ วิ่ง 0-402 เมตร ใช้เวลา 16.4 วินาที แรงพอไหมครับ

น้องเอก เป็นคนหาเครื่องตัวนี้มาลงใน 306 ในตอนวางแรกๆ ปรากฎว่าโดย Mi16 กิน เลยทำให้น้องเค้าซีเรียสไปพักใหญ่ แต่เมื่อได้สอบถามกับเมืองนอกว่า “รถ 306 Gti6 โดย Mi16 บี้” (จริงๆ เป็นภาษาอังกฤษเนอะ) ก็โดนตอบมาว่า “สงสัยเครื่องคุณพังหรือเปล่า” นี่เป็นเหตุทำให้น้องเอกเครียดไปหลายวัน หลังจากนั้นก็พบสาเหตุครับ (ขอไม่บอกแล้วกันครับ แต่สาเหตุแค่นิดเดียวจริงๆๆ 5555) ก็ทำให้น้องเอกยิ้มออกนะครับ เพราะคร่าวนี้ ทิ้งไกลเลยครับ อิอิอิอิ ทั้งนี้เอียชาติชาย เคยบอกไว้ว่า “เสียงเปลี่ยนเกียร์นั้น ทำให้รอบเครื่องต่อเนื่องและหวานจริงๆ”

ดูรูปกันสักหน่อยนะครับ

ดูอีกนะครับ

ถ้าพี่ปอนด์ซื้อให้สมาชิกได้ขับทุกคน    กระทู้นี้ จะดีกว่านี้ครับ 55++

เงินใครเงินเค้า (เงินใครเงินมัน 55555)

อะละครับมาคุยเรื่องมันกันต่ออีกสักนิดของ Mi16
ขออนุญาต นำเนื้อความของพี่ Woody จาก เว๊บ mygarage.pantown.com สักหน่อยนะครับ
เขียนสวยงามทั้งภาษาและเนื้อความครับ ขอเกริ่นสักนิดหน่อยเกี่ยวกับพี่ woody นะครับ เป็นคนหนึ่งที่ชอบพอ Mi16 ไม่ใช่น้อย (ผมอ้อนพี่เค้าบ่อยๆๆ นะครับ เรื่อง Mi16) ดังนั้นการทำซ่อมบำรุงและแต่งสวยนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่งในตำนานเมืองไทยก็ว่าได้ว่า Mi16 สวยๆ นะแบบนี้นะครับ


■ Peugeot 405 รถยนต์ที่ผสานการใช้งานที่อย่างลงตัว ประสิทธิภาพ และตอบสนองการขับขี่เป็นไปอย่างมั่นใจขณะใช้ความเร็วสูง ความประทับใจเริ่มจากรูปลักษณ์ที่เน้นเรียบง่ายแต่กลมกลืนอันเป็นผลจากการออกแบบร่วมกันระหว่าง Peugeot กับ Pininfarina แห่งอิตาลี รูปทรงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความปราดเปรียวยามเมื่อได้สัมผัส ความเร้าใจในพละกำลังกับประโยชน์ในด้านการใช้งานอย่างเต็มที่ เป็นการผสมผสานได้อย่างพอดี

Peugeot 405 เริ่มเข้ามาในประเทศไทยในปี ค.ศ. 1989 ในรุ่น GRและ Mi16 ยังมีรุ่น GRi และ SRi ตามมาในปี 1992 จนปลายปี 1999 อาจมีหลงข้ามถึงปี 2000 บ้างก็ไม่มาก
■ Mi16 เป็นรุ่น Top ขนาดความจุ 1905cc 16วาล์ว หัวฉีดมัลติพอยท์ BOSCH ML4.1 เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ 160 แรงม้า ความเร็วปลายที่ประมาณ 220 Km/H ด้วยรูปทรงเหลี่ยมและการออกแบบของ Pininfarina ประกอบกับสมรรถนะของเครื่องยนต์รหัส XU9J4 ทำให้ Mi16 ยังเป็นที่หลงไหลของกลุ่มคนรัก Peugeot ในหลายๆประเทศ รวมทั้งกลุ่มคนรัก Peugeot ในประเทศไทยด้วย

ซ่อมบำรุง

■ หลังจากใช้งานไปได้พักใหญ่ประกอบกับมีความคิดที่จะจับม้าที่หนีออกจากคอกกลับมาให้ได้มากที่สุด งบประมาณ การเตรียมการณ์ต่างถูกรวบรวมและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง
อันดับแรก ทำหล่อก่อนเลย ส่งเข้าอู่ทำสีทั้งคัน คิ้วโครเมี่ยมกันชนหน้าหลังเปลี่ยนใหม่หมดจะได้ไม่หรอกตา หมดเวลาไปเดือนกว่าๆแต่ค้มค่ากับการรอ สีออกมาสมใจครับ หลังจากวิ่งโฉบเชี่ยวได้พักใหญ่ รายการถัดไปหนักหนากว่ามาก เริ่มจากยกเครื่องออกมาแล้วรื้อมาเปลี่ยน ตรงไหนขัดได้ก็ขัดไป ตรงไหนต้องเปลี่ยนอย่าเสียดายงานนี้ไม่ได้ทำบ่อยๆ เปลี่ยนไปเยอะครับ แต่ส่วนประกอบหลักๆภายในเครื่องยนต์ยังอยู่ในสภาพดี เปลี่ยนแหวน บดวาส์ว ชาร์ฟอก ชาร์ฟก้าน อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งระบบสายไฟและจุดเชื่อมต่อภายในห้องเครื่องก็ถูกจัดการให้เป็นระเบียบ
ระบบส่งกำลัง: ชุดครัชใหม่ทั้งชุดถูกแทนที่เพื่อรองรับกำลังจากม้าฝูงใหม่รวมถึงสายครัชที่มักเป็นสาเหตุหนึ่งของครัชแข็งก็ถูกเปลี่ยนเพื่อความนุ่มนวลยามเปลี่ยนเกียร์
■ ระหว่างรื้อประกอบเครื่องยนต์ ก็ส่งหัวฉีดไปที่ร้านเช็คหัวฉีด เพื่อเช็คล้างเปลี่ยนใส้กรองในหัวฉีด ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าเอาไปส่งเองใช้เวลาทำประมาณ 2 ชั่งโมงนั่งรอรับได้เลยถ้าช่างว่างทำให้แถมได้ดูทุกขั้นตอนด้วย(ถ้าชอบ)
■ ไฮดรอริควาวส์ 16 ตัวพร้อมลูกถ้วยจำนวนเท่ากัน ถูกล้างทำความสะอาดรอเวลากลับเข้าประจำการ
■ หลังจากนอนยาวอยู่ในอู่มาระยะหนึ่ง ชิ้นส่วนบางชิ้นที่ส่งไปขัด ไปชุบ บางชิ้นทำขึ้นใหม่ และอุปกรณ์เสริมบางตัวถูกนำกลับมาและประกอบเข้าสู่ตำแหน่งที่ควรจะอยู่ ม้าฝูงใหม่ก็พร้อมรออยู่ในคอก
■ ฝาครอบวาวส์มือสองที่ถูกนำมาทำสีใหม่ด้วยสีดำด้านกันความร้อนและเพิ่มสีสันด้วยการเพิ่มแถบสีแดงและแผงสแตนเลสครอบแนวรางสายหัวเทียนเน้นความเรียบง่าย

ท่อร่วมไอดีเดิมถูกส่งไปปัดเงาเพื่อความสวยงามและที่สำคัญ ง่ายต่อการทำความสะอาด

มาตรวัดถูกต่อพ่วงเข้าในระบบจ่ายเชื้อเพลิงในห้องเครื่องเพื่อแสดงแรงดันของปั๊มและง่ายต่อการตรวจสอบระบบส่งเชื้อเพลิงและความผิดปกติของปั้มแรงดันสูง

ท่อไอเสียเดิมถูกแทนที่ด้วยท่อขนาด 2 นิ้วครึ่ง รวมถึงท่อพักทั้ง 2 ใบ ยกเว้นเฮดเดอร์แบบ 8(4+4)-1-1จากโรงงานที่ถูกออกแบบมาอย่างลงตัวเพื่อรับและระบายไอเสียจากวาวส์ไอเสียทั้ง 8 ตัว โดยจะเริ่มส่งเสียงหวานๆเมื่อได้รอบที่ต้องการ เป็นการสร้างบรรยากาศได้เร้าใจจริงๆ
■ ล้อตามสเปคเมืองนอกเป็นลาย 5 แฉก ขอบ 15 นิ้ว แต่ยนตรกิจบ้านเราให้มา 14 นิ้วลายนี้เหมือนรุ่น GR ถูกนำไปทำสีและปัดเงาขอบใหม่ ข้อดีของขอบ 14 นิ้ว คือความนุ่มนวลเวลาใช้งานได้ดีในเมืองและประหยัดค่ายาง ส่วนในขณะใช้ความเร็วสูงเวลาเข้าโค้งคงเป็นรองขอบ 15 นิ้วที่ใช้ยาง195/55 หรือ 195/50 แต่คงไม่มากนัก(ยังไม่เคยลอง)

Lowering Spring ตรงรุ่น ถูกนำมาแทนที่ Spring เดิม เพื่อลดความสูงลง 2.5 ซ.ม. ทำให้ซุ้มล้อดูเต็มและหนึบขึ้นอีกหน่อย

ช๊อคอัฟใหม่ทั้ง 4 ตัว ตามสเปคโรงงานที่เน้นความนุ่มนวลในการใช้งานประจำวันและให้ความมั่นใจยามใช้ความเร็วสูง

คัดลอกมาจาก http://mygarage.pantown.com/

มาพูดกันเรื่อง 605 V6 และ 406 V6 กันต่อนะครับ
605 V6 นั้นต้องเล่าเรื่องราวสักเล็กน้อยนะครับ

วันหนึ่งจำไม่ได้แล้วครับว่าวันไหน ต้องไปเปิดบันทึกดู แต่ช่างเถอะเอาเป็นว่าวันหนึ่งแล้วกัน
ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทท่านหนึ่งบอกว่า มี 406 V6 3.0 จะขาย ด้วยความอยากดูก็เลยต้องไปดูสักหน่อย (ปัจจุบันคันนี้อยู่ที่เอียชาติชายนะครับ) จากการสอบถามข้อมูลจากพี่เมธี เป็นรถของฝรั่งที่กลับต่างประเทศ เป็นเทคนิคของ Peugeot แล้วเสี่ย Boat ซื้อไว้นะครับ

ตอนนั้น 406 คันนี้ยังไม่ได้ใส่เบรค bermbo นะครับ ยังเป็นเบรกมาตรฐานอยู่ครับ ตอนนั้นก็อยากได้นะครับ แต่เจ้าของไม่ขายครับ (ถึงขายก็ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อหรือเปล่านะครับ)

ก็เลยได้ความว่า 406 ยังไม่ขาย แต่มี 605 V6 3.0 ขายเอาไหม เราก็เลยไปดูสักหน่อย ปรากฎว่าชอบครับ
เป็นเรื่องละสิครับทีนี้ วันรุ่งขึ้นเลยต้องเอาเช็คไปจ่าย ตอนนั้นปิด คนในเว๊บที่รู้มีแค่ 2 คนเท่านั้นเอง นอกนั้นปิดเงียบครับ ทั้งนี้หลังจากนั้นก็เพิ่งทราบว่า ผมตัดหน้าเฮียชาติชายไปแค่ช่วงเช้ากับสาย แค่นั้นเองครับ เพราะเอียชาติชายก็เล็งไอ้เจ้าคัน 605 ไว้เหมือนกัน หน่อย คันนี้ผมแทบไม่ได้ขับเลยครับ เปลี่ยนยาง 1 ชุด และซ่อมจุกจิกนิดหน่อย ใช้ไปได้แค่ 8000 โลเองเห็นจะได้ 2 ปี ใช้ 8000 โล ฟังเหมือนรวยนะครับ แต่เปล่าละครับ 5555

อะเกริ่นไปสะตั้งนาน มาคุยเรื่องความสุดยอดของ 605 V6 3.0 กัน ด้วยน้ำหนักตัวประมาณเกือบ 1.6 ตัน กับม้า 167 ม้า แรงบิดมหาศาล 235 ที่ 4600 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ระดับนี้พา จากจุดหยุดนิ่งไป ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 9.7 วินาที และทะยานไปแตะที่ 222 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างสบายๆ จริงๆ แล้วผมขับได้ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไม่ขับต่อแล้วครับ ไม่ใช้ว่ารถไม่พร้อมนะครับ แต่คนนะไม่พร้อมครับ 55555
จริงแล้ว 605 มี ตัว V6 3.0 24 valves 200 ม้า จาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.6 วินาที Mi16 ก็หนาวนะครับ แต่ตัวนี้ไม่มีจำหน่ายในเมืองไทยนะครับ

คันนี้ได้ออกทริปกับ vlovepeugeot.com ไประยองนะครับ ผมไปเช้า แล้วกลับค่ำๆ ไปกับคุณต้นนะครับ
ตอนไป คุณต้นอยากลองขับ ก็เลยให้ขับสนุกสนานครับ ส่วนตอนกลับไล่บี้กับแคมรี่ 2.4 จริงๆ แล้วแซงได้นะครับ แต่เนื่องจากทางมืด เราก็ไล่จี้ไปเรื่อยๆ ขับสบายกว่าครับ แทบไม่น่าเชื่อความที่ความเร็วสูงๆ 150-160 แทบไม่ได้ยินเสียงลมเข้ามาภายในห้องโดยสารเลย และที่สำคัญมันสบายมากๆ ความเหนื่อยล้าจากการขับรถ แทบไม่มีเลยครับ ที่นั่งเบาะด้านหน้านั่งสบายจริงๆ ครับ เปรียบเทียบแล้ว ขับเจ้า 405 กับ 605 มันช่างแตกต่างเรื่องความสบายมากๆๆ ยิ่งตอนที่ขับไปหัวหิน ยอมรับจริงๆ ครับ ขับได้นิ่มๆ สบายๆ จริงๆ ครับ แรงก็แรง ขับสบายดีจริงๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดหนักเสมอเวลาเดินทาง นั้นคือ น้ำมันครับ น้ำมันเฉลี่ยต่างจังหวัด 10 กิโลต่อลิตรเห็นจะได้
เข้าเมืองละสิครับ 4-5 กิโลต่อลิตรเชียว อึ๋ยๆ นี้เป็นข้อเสียข้อเดียวของ 605 V6 ละครับ  >:(

 O0 O0 O0 O0

สุดยอดเลยครับผม

งงมั่ก ว่าทำไมต้องเอาตัวแรงไปเทียบกับรถจ่ายกับข้าว1500ccดีเด่นรางวัลนับสิบ(fit)ด้วย ไม่ไปเทียบกะซีวิคไทองไทอาร์ บี16รุ่นเก่าๆนู่นหรือเอ็ม3อี30 ยังดูถูกคู่หน่อย หรือรุ่นไหนก้อด้ายที่มันเป็นตัวแรงเหมือนกัน ไม่เข้าใจง่ะ
ส่วนวี6 3000กะอี2.4 ไม่วี6เนี่ย มันยังงัยก้อกะดูกคนละเบอร์ แต่ถ้าอี2.4มันเล่นด้วยก้ออาจทำให้วี6ต้องเหนื่อยเหมือนกัน ละมั้ง ครับ คือจะประลองกะใครหรือลองยังงัย ก้อให้สมน้ำกันหน่อย มันทำให้รู้สึกว่าสิงแก่แกล้งเด็กละคร้าบ

อ่านตำนานแล้วสุนกสนานมั่กๆคั่บ

ยอดๆๆ เย้

ถ้าเทียบม้าแล้ว ไม่แตกต่างกันมากเท่าไรครับ แต่ 605 ได้เปรียบเรื่องแรงบิดครับผม กับเครื่อง V จ้า
คงไม่ได้แกล้งหรอกครับ แค่ขับสนุกๆๆ อาศัยเค้านำทางนะครับ 5555