Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: Webmaster
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 05:45:48
ผมว่า 406 สู้ได้นะครับ แต่ ต้อง D9 แต่ใส่ท่ออากาศให้ถูกต้อง วิ่งดีกว่าเยอะ
(ปกติโดยถอดออก เพราะเกรงว่าจะดูดน้ำจะเข้าเครื่องยนต์)
ต้นอาจจะห่างกันหน่อยแต่ปลายใกล้ๆช่วง 120-140 ตามได้แน่นอน
ส่วน D8 ต้องเกียร์ธรรมดา ใส่โมดูล รับรองวิ่งกระเจิง
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: j17
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 06:25:46
อ่ะๆๆๆ คัมรี่ตัวก่อนปัจจุบันม่ายเคยลอง แต่ตัวปาดจูบันลองมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่า 2.0 หรือ 2.4 ไม่เห็นมีไรครับ พี่น้องชาวสิงห์อย่าเสียใจ จ่าโทเอาคืนให้แล้ว ซองเทีย 16 วาล์ว เครื่องตัวเดียวกะ 306 s 16 น่ะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ออกจากไฟแดง แล้วขับตีคู่ รำคาญ เลยกดลากเกียร์ 3 ยัน 8000 รอบ แค่นั้นเอง ลงเกียร์ 4 ไม่เห็นหัวเห็นหางแล้ว (ตอนแรกทำท่าไม่ยอมนะ) ทริปนั้น แซงคัมรี่ได้ ดันมาเจอ ซีรี่ส์ 3 ไม่ยอมอีก ต้องกด 180 ถึงยอม (ความจริงเค้ายกตั้งแต่ 150 - 160 แล้น) อ้อ รถผมมันใช้แก็สมิกซ์นะ เครื่องกับแก๊สไม่สมบูรณ์ วิ่งสู้น้ำมันไม่ได้แล้วก็กินแก๊สพอควรด้วย วิ่งแก็สอยู่ลองสลับมาใช้น้ำมันมีสะดุดนิดๆ แล้วค่อยดึงหลัง (แก๊สไม่ค่อยดึงเท่าไหร่) กดได้แค่ 180 เอง มากกว่านั่น มันฟอดๆ ทั้งที่คันเร่งยังเหลืออีกเกือบครึ่ง
แตนๆ รถไม่สมบูรณ์ แค่สะกิด คัมรี่ห็หายแล้น อ่ะๆๆๆ
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: Kong@Peugeot
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 09:04:39
ไม่ว่าตัวก่อนปัจจุบันหรือตัวปัจจุบัน Mi16 เราสู้ได้สบายผมวิ่งกรุงเทพกับพัทยาเกือบทุกๆวัน แต่รถต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์นะ จะแซงได้ก็เลย 200 ไปแล้วครับ
ผมจะแข่งตอนช่วงเช้าๆประจำ ผมจะเข้าไปทำงานที่พัทยา ที่ยกระดับบางนา- ชลบุรี
D9 ผมตีนต้นอืดมากแต่ถ้ากดสุดๆ ก็ไหลได้ 210-220 เหมือนกันนะแต่อยากได้มากกว่านี้ต้องทำไงอ่ะ ใครรู้ช่วยบอกทีครับเอาแบบที่ไม่เป็นอันตรายต่อเครื่องมากนะครับ
เอาความจริงนะ ผมใช้ D9 มา 2 คันแล้วทั้ง V1 และตัว L5 ได้แค่ 205 เองทั้ง 2 คันเลย ปัจจุบันยังใช้ตัวรุ่น V1 ทำยังไงก็ไม่เกินจากนี้ซักที วิ่งตามน้องๆเขาไม่ทัน เลยต้องหันมาเล่นรุ่น....

รถคุณได้เท่านี้ผมว่า โอเคแล้วนะ
ผมอยากแนะนำ เอาแบบรวมๆนะ ทำไม่ต้องทุกหัวข้อก็ได้ (วิธีง่ายๆที่ไม่ใช่การแต่งแข่งนะ)
1.ใช้หัวเทียน อีลีเดี่ยม เบอร์9
2.ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะ100%
3.ปรับตั้งลิ้นเร่งเล็กน้อย(ต้องเป็นนะ)
4.ใส่กรองเปลือยได้ก็ดี(ต้นจะมาเร็วอีกนิดหน่อย)
5.เปลี่ยนกรองเบนซิน กรองอากาศ(หรือเป่าก็ได้) เต็มลมยางมากว่าเดิมหน่อย
ุ6.ถ้ามาแคตตัดออกนะ
7.ใส่วายกราวด์
8.ตั้งวาล์วใหม่ตามสเปค
9.มีอีกหลายอย่าง
พอละ ผมว่าแค่นี้ก็เพิ่มม้าอีก 2-3 ตัวแล้ว
คุนอาจไม่เชื่อผมก็ได้ ถ้าไม่ลองไม่รู้นะครับ
อย่าว่าผมลับหลังละ พูดจากประสบการณ์ซ่อมรถมาเกือบ10แล้วละ
เบอร์ 9 จะเย็นไปครับไหมครับ ปกติติดรถเบอร์ 6 เอง เบอร์ 7 ก็น่าจะพอแล้วมั้งครับ
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: ohmkuza
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 09:06:42
เคยเอา mi ไล่ท่อใหม่ทั้งเส้น เครื่องไม่ค่อยสมบูร ไปไล่บี้เจ้าแคมรี่ 2.4 อยุ่ ที่ทางด่วนไป ชลบุรี เส้นลอยฟ้า ตามได้สบายๆ แต่ขึ้นไม่ได้ แค่เกือบจะได้ ที่เหลือก็วัดใจเพราะรถค่อนข้างเยอะ แถมมันแอบจับความเร็วอีก ^^
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: CoRso
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 09:19:05
วิ่งสบายๆดีกว่าครับ....ใครรีบก็ปล่อยเค้าไป
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: Nobel405
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 09:24:30
บทความ ลอกเค้ามา...น่าคิด
วัสดุต่าง ๆ ของตัวแรง
ของแต่งเพิ่มแรง .... แพง ...แต่ทนกว่า
เปลี่ยนอารมณ์กันซักนิด จากอุปกรณ์ที่ว่าด้วย ?อิเล็กทรอนิกส์? สู้ชิ้นส่วนที่เป็นโครงสร้างต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกรวมไปถึงที่หมุน
และ เคลื่อนที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ กว่าจะผลิตรถยนต์ขึ้นมาได้ซักคันนั้นบรรดานักออกแบบและวิศวกรของค่ายผู้ผลิตต่างก็ทุ่มเทมันสมอง
และเทคโนโลยีในส่วนต่าง ๆ ไว้เพียบพร้อมอยู่แล้วเพื่อให้คุณได้เสียเงิน ?หิ้ว? ออกจากโชว์รูม .... แต่เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมไอ้คน
ที่รู้จักเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ลูกหลานใต้อาณัติยังต้องไปดิ้นรนหาของแต่งค่าตัวสูงมาประเคนใส่เพื่อแทนที่ชิ้นส่วนของโรงงาน?? กับวลีที่ว่า ?ของเดิม ๆ เค้าก็ดีอยู่แล้ว?
แพงและทนกว่า ...แต่แรงมั๊ย ......ต้องดูกันอีกที
ที่เห็นกันบ่อย ๆ ว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้นเป็นของแต่งที่ทำจากไอ้นี่ ไอ้นั่น.... ไม่ได้หมายความว่าชิ้นส่วนของโรงงานไม่ดีหรือใจเสาะแต่
อย่างใด อย่างที่รู้ ๆ กันว่าส่วนประกอบต่าง ๆ กว่าจะได้ผลิตขึ้นมาเป็นรถซักคันหนึ่งเนี่ย...... วิศวกรเค้าคำนวณในทุก ๆ รายละเอียด มาให้
เราเรียบร้อยหมดแล้ว ว่าใช้งานประมาณนี้ภายใต้ขอบเขตที่ไม่เป็นการทารุณตัวรถและเครื่องจนเกินไป ทุกระบบก็จะสามารถตอบสนองต่อ
การขับขี่ได้อย่างครบถ้วยเหมาะสม ไอ้แบบนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับครรัก ?รถเดิม? ประเภทโรงงานมีมาอย่างไร ข้าก็ใช้อย่างนั้น (แบบนี้ล่ะ
วิเศษสุด) กับอีกกลุ่มที่นิยมการ ?เปลี่ยนแปลง? ประเภทซ้ำใครแล้วไม่สบายใจพานจะไข้ขึ้น ไอ้ประเภทนี้ก็มีไม่น้อย การดิ้นรนจึงเกิดขึ้น
ไม่ควรคาดหวังว่าได้ของแต่งมาสักชิ้น แล้วมันจะ ?อัพ? พลังให้ทันตาเห็นแต่อย่างใด มันต้องดูอีกหลาย ๆ องค์ประกอบในการเพิ่มแรง
ด้วยเช่น ไปได้ลูกสูบแต่ง (N/A) มาชุดนึง ราคาปาเข้าไปครึ่งแสน ใส่แล้วประกอบเครื่องโดยทุกชิ้นส่วนยังเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นแค็ม, วาล์ว, พอร์ท, ปะเก็น หรือแม้แต่ท่อไอเสีย เรียวแรงที่เพิ่มมันอาจจะไม่ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง (มากนัก) ก็เป็นได้ เพราะ อากาศที่ไหลเข้ามา
เป็นไอดีและถูกไล่ออกเป็นไอเสียมันยังมีปริมาณเท่าเดิม กำลังไฟที่ใช้ในการจุดระเบิดเท่าเดิม มันก็เลยไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเพิ่มให้
คุณ ถ้ารักจะแรงมันต้องลงทุนในหลาย ๆ ส่วน...และจำเอาไว้เถิดว่ายิ่งต้องการความแรง และความทนมากเท่าไหร่ ตัวเลขในบัญชีธนาคาร
ก็ยิ่งหดน้อยลงไปเท่านั้น
บางอย่างช่วยให้แรง ....... แต่บางอย่างทำให้ ?ความแรง? อยู่กับเราได้นานขึ้น
ขอเริ่มกันที่เป็นชิ้นส่วนในขุมกำลังก่อนดีกว่า.... ไอ้ที่เป็นของเดิมที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะอยากไปยุ่งกับมัน (หมายถึง เปลี่ยนทั้งชิ้น) ก็มีตั้ง
แต่ฝาสูบ, เสื้อสูบ, แคร้งค์ อะไรพวกนี้ หรือ ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เป็นพวกที่ไม่ต้องเคลื่อนที่นั่นแหละที่ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับมัน นอกนั้นถ้า
ต้องเคลื่อนไหว ไมว่าจะในทิศทางใดมักไม่รอดพ้นโดน ?ยำ? อยู่เรื่อย ตั้งแต่ ลูก, ก้าน, ข้อ, แค็ม, สปริงวาล์ว หรือแม่แต่ ชาฟท์ต่าง ๆ แต่
ก็ต้องดูด้วยว่าเป้าหมายนั้นอยู่ที่กี่แรง งบเท่าใด และที่สำคัญประมาณตนเองไว้ด้วยว่า... แค่ไหน
...
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: Kong@Peugeot
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 10:06:36
อ่านบทความแล้วอยากจะบอกคนเขียนบทความนี้จริงๆ เลยว่า สมัยนี้รถออกแบบมาขายเป็นสินค้าเพื่อการค้าขายมากกว่าออกแบบมาให้คนใช้งาน การสร้างรถขึ้นมาคันนึงจึงต้องคำนวณค่าใช้จ่าย และตัดคอสที่ไม่ค่อยจำเป็นออก เพื่อลดต้นทุนการผลิต จะได้มีกำไรมากขึ้น เพราะคนที่อยู่ในวงการขายรถอย่างผม สามารถบอกได้เลยว่ารถรุ่นใหม่ๆ แต่ละคัน ใช้เหล็กบางกว่ารุ่นเก่าๆ บางยี่ห้อก็เห็นบางส่วนหนานเท่าเดิมแต่ ชิ้นส่วนที่เป็นเหล็กบางจุดก็โดนตัดออกไป ส่วนมาจะโดนในจุดที่เรามองไม่เห็นด้วยครับ
สังเกตุได้ว่าสมัยนี้ รถรุ่นใหม่แต่ละคันไม่ค่อยมีความทนทานเท่ารถรุ่นเก่าๆ เลย โดนชนนิดสกิดหน่อย ก็ยุบกันเป็นแถบๆ ขนาดโครงสร้าง แซสซี่ที่น่าจะมีความแข็วแกร่งที่สุดก็ยังยุบตัวง่าย ประตูเอานิ้วกดเบาๆ เหล็กก็ยุบตัว ถ้าเอาตัวพิงยิ่งแล้วใหญ่ ยุบไปเลย
อย่าในบทความนี้ช่วงนี้บอกว่า
ไปได้ลูกสูบแต่ง (N/A) มาชุดนึง ราคาปาเข้าไปครึ่งแสน ใส่แล้วประกอบเครื่องโดยทุกชิ้นส่วนยังเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นแค็ม, วาล์ว, พอร์ท, ปะเก็น หรือแม้แต่ท่อไอเสีย เรียวแรงที่เพิ่มมันอาจจะไม่ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง (มากนัก) ก็เป็นได้ เพราะ อากาศที่ไหลเข้ามา
เป็นไอดีและถูกไล่ออกเป็นไอเสียมันยังมีปริมาณเท่าเดิม กำลังไฟที่ใช้ในการจุดระเบิดเท่าเดิม มันก็เลยไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเพิ่มให้
คุณ
ถ้าเป็นชุดลูกสูบแต่งแบบ N/A แม้ว่าเราจะได้ไม่เปลี่ยนอุปกรณ์ทุกอย่าง เปลี่ยนแต่ลูกสูบก็สามารถเห็นผมต่างได้ และสามารถเพิ่มแรงม้า แรงบิดได้ เพราะ ถึงไอดีและไอเสียยังมีปริมาณเท่าเดิม ไฟจุดระเบิดเท่าเดิม แต่ กำลังอัดในห้องเผาไหม้จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากชุดลูกสูบที่เป็นของแต่งแบบ N/A จะมีการให้กำลังอัดที่สูงกว่าลูกสูบปกติ ทำให้เกิดการจุดระเบิดที่รุนแรงกว่าครับ แต่จะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาจากการเปลี่ยนเฉพาะลูกสูบอีกไม่รู้จบครับ เนื่องจากความร้อนในห้องเผาไหม้เพิ่มขึ้น จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้รถความร้อนขึ้นได้ครับ การแต่งรถจึงต้องทำอยากที่เขาว่าคือ
ถ้ารักจะแรงมันต้องลงทุนในหลาย ๆ ส่วน
และผมเห็นด้วยในส่วนที่เขาบอกว่า
...และจำเอาไว้เถิดว่ายิ่งต้องการความแรง และความทนมากเท่าไหร่ ตัวเลขในบัญชีธนาคาร
ก็ยิ่งหดน้อยลงไปเท่านั้น
เพราะตอนนี้เงินในกระเป๋าผมก็เป็นไปตามนั้นเหมือนกัน

Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: Poj_MN
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 14:26:36
อ่านบทความแล้วอยากจะบอกคนเขียนบทความนี้จริงๆ เลยว่า สมัยนี้รถออกแบบมาขายเป็นสินค้าเพื่อการค้าขายมากกว่าออกแบบมาให้คนใช้งาน การสร้างรถขึ้นมาคันนึงจึงต้องคำนวณค่าใช้จ่าย และตัดคอสที่ไม่ค่อยจำเป็นออก เพื่อลดต้นทุนการผลิต จะได้มีกำไรมากขึ้น เพราะคนที่อยู่ในวงการขายรถอย่างผม สามารถบอกได้เลยว่ารถรุ่นใหม่ๆ แต่ละคัน ใช้เหล็กบางกว่ารุ่นเก่าๆ บางยี่ห้อก็เห็นบางส่วนหนานเท่าเดิมแต่ ชิ้นส่วนที่เป็นเหล็กบางจุดก็โดนตัดออกไป ส่วนมาจะโดนในจุดที่เรามองไม่เห็นด้วยครับ
สังเกตุได้ว่าสมัยนี้ รถรุ่นใหม่แต่ละคันไม่ค่อยมีความทนทานเท่ารถรุ่นเก่าๆ เลย โดนชนนิดสกิดหน่อย ก็ยุบกันเป็นแถบๆ ขนาดโครงสร้าง แซสซี่ที่น่าจะมีความแข็วแกร่งที่สุดก็ยังยุบตัวง่าย ประตูเอานิ้วกดเบาๆ เหล็กก็ยุบตัว ถ้าเอาตัวพิงยิ่งแล้วใหญ่ ยุบไปเลย
อย่าในบทความนี้ช่วงนี้บอกว่า
ไปได้ลูกสูบแต่ง (N/A) มาชุดนึง ราคาปาเข้าไปครึ่งแสน ใส่แล้วประกอบเครื่องโดยทุกชิ้นส่วนยังเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นแค็ม, วาล์ว, พอร์ท, ปะเก็น หรือแม้แต่ท่อไอเสีย เรียวแรงที่เพิ่มมันอาจจะไม่ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง (มากนัก) ก็เป็นได้ เพราะ อากาศที่ไหลเข้ามา
เป็นไอดีและถูกไล่ออกเป็นไอเสียมันยังมีปริมาณเท่าเดิม กำลังไฟที่ใช้ในการจุดระเบิดเท่าเดิม มันก็เลยไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเพิ่มให้
คุณ
ถ้าเป็นชุดลูกสูบแต่งแบบ N/A แม้ว่าเราจะได้ไม่เปลี่ยนอุปกรณ์ทุกอย่าง เปลี่ยนแต่ลูกสูบก็สามารถเห็นผมต่างได้ และสามารถเพิ่มแรงม้า แรงบิดได้ เพราะ ถึงไอดีและไอเสียยังมีปริมาณเท่าเดิม ไฟจุดระเบิดเท่าเดิม แต่ กำลังอัดในห้องเผาไหม้จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากชุดลูกสูบที่เป็นของแต่งแบบ N/A จะมีการให้กำลังอัดที่สูงกว่าลูกสูบปกติ ทำให้เกิดการจุดระเบิดที่รุนแรงกว่าครับ แต่จะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาจากการเปลี่ยนเฉพาะลูกสูบอีกไม่รู้จบครับ เนื่องจากความร้อนในห้องเผาไหม้เพิ่มขึ้น จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้รถความร้อนขึ้นได้ครับ การแต่งรถจึงต้องทำอยากที่เขาว่าคือ
ถ้ารักจะแรงมันต้องลงทุนในหลาย ๆ ส่วน
และผมเห็นด้วยในส่วนที่เขาบอกว่า
...และจำเอาไว้เถิดว่ายิ่งต้องการความแรง และความทนมากเท่าไหร่ ตัวเลขในบัญชีธนาคาร
ก็ยิ่งหดน้อยลงไปเท่านั้น
เพราะตอนนี้เงินในกระเป๋าผมก็เป็นไปตามนั้นเหมือนกัน

[/quo
บทความ ลอกเค้ามา...น่าคิด
วัสดุต่าง ๆ ของตัวแรง
ของแต่งเพิ่มแรง .... แพง ...แต่ทนกว่า
เปลี่ยนอารมณ์กันซักนิด จากอุปกรณ์ที่ว่าด้วย ?อิเล็กทรอนิกส์? สู้ชิ้นส่วนที่เป็นโครงสร้างต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกรวมไปถึงที่หมุน
และ เคลื่อนที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ กว่าจะผลิตรถยนต์ขึ้นมาได้ซักคันนั้นบรรดานักออกแบบและวิศวกรของค่ายผู้ผลิตต่างก็ทุ่มเทมันสมอง
และเทคโนโลยีในส่วนต่าง ๆ ไว้เพียบพร้อมอยู่แล้วเพื่อให้คุณได้เสียเงิน ?หิ้ว? ออกจากโชว์รูม .... แต่เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมไอ้คน
ที่รู้จักเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ลูกหลานใต้อาณัติยังต้องไปดิ้นรนหาของแต่งค่าตัวสูงมาประเคนใส่เพื่อแทนที่ชิ้นส่วนของโรงงาน?? กับวลีที่ว่า ?ของเดิม ๆ เค้าก็ดีอยู่แล้ว?
แพงและทนกว่า ...แต่แรงมั๊ย ......ต้องดูกันอีกที
ที่เห็นกันบ่อย ๆ ว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้นเป็นของแต่งที่ทำจากไอ้นี่ ไอ้นั่น.... ไม่ได้หมายความว่าชิ้นส่วนของโรงงานไม่ดีหรือใจเสาะแต่
อย่างใด อย่างที่รู้ ๆ กันว่าส่วนประกอบต่าง ๆ กว่าจะได้ผลิตขึ้นมาเป็นรถซักคันหนึ่งเนี่ย...... วิศวกรเค้าคำนวณในทุก ๆ รายละเอียด มาให้
เราเรียบร้อยหมดแล้ว ว่าใช้งานประมาณนี้ภายใต้ขอบเขตที่ไม่เป็นการทารุณตัวรถและเครื่องจนเกินไป ทุกระบบก็จะสามารถตอบสนองต่อ
การขับขี่ได้อย่างครบถ้วยเหมาะสม ไอ้แบบนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับครรัก ?รถเดิม? ประเภทโรงงานมีมาอย่างไร ข้าก็ใช้อย่างนั้น (แบบนี้ล่ะ
วิเศษสุด) กับอีกกลุ่มที่นิยมการ ?เปลี่ยนแปลง? ประเภทซ้ำใครแล้วไม่สบายใจพานจะไข้ขึ้น ไอ้ประเภทนี้ก็มีไม่น้อย การดิ้นรนจึงเกิดขึ้น
ไม่ควรคาดหวังว่าได้ของแต่งมาสักชิ้น แล้วมันจะ ?อัพ? พลังให้ทันตาเห็นแต่อย่างใด มันต้องดูอีกหลาย ๆ องค์ประกอบในการเพิ่มแรง
ด้วยเช่น ไปได้ลูกสูบแต่ง (N/A) มาชุดนึง ราคาปาเข้าไปครึ่งแสน ใส่แล้วประกอบเครื่องโดยทุกชิ้นส่วนยังเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นแค็ม, วาล์ว, พอร์ท, ปะเก็น หรือแม้แต่ท่อไอเสีย เรียวแรงที่เพิ่มมันอาจจะไม่ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง (มากนัก) ก็เป็นได้ เพราะ อากาศที่ไหลเข้ามา
เป็นไอดีและถูกไล่ออกเป็นไอเสียมันยังมีปริมาณเท่าเดิม กำลังไฟที่ใช้ในการจุดระเบิดเท่าเดิม มันก็เลยไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเพิ่มให้
คุณ ถ้ารักจะแรงมันต้องลงทุนในหลาย ๆ ส่วน...และจำเอาไว้เถิดว่ายิ่งต้องการความแรง และความทนมากเท่าไหร่ ตัวเลขในบัญชีธนาคาร
ก็ยิ่งหดน้อยลงไปเท่านั้น
บางอย่างช่วยให้แรง ....... แต่บางอย่างทำให้ ?ความแรง? อยู่กับเราได้นานขึ้น
ขอเริ่มกันที่เป็นชิ้นส่วนในขุมกำลังก่อนดีกว่า.... ไอ้ที่เป็นของเดิมที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะอยากไปยุ่งกับมัน (หมายถึง เปลี่ยนทั้งชิ้น) ก็มีตั้ง
แต่ฝาสูบ, เสื้อสูบ, แคร้งค์ อะไรพวกนี้ หรือ ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เป็นพวกที่ไม่ต้องเคลื่อนที่นั่นแหละที่ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับมัน นอกนั้นถ้า
ต้องเคลื่อนไหว ไมว่าจะในทิศทางใดมักไม่รอดพ้นโดน ?ยำ? อยู่เรื่อย ตั้งแต่ ลูก, ก้าน, ข้อ, แค็ม, สปริงวาล์ว หรือแม่แต่ ชาฟท์ต่าง ๆ แต่
ก็ต้องดูด้วยว่าเป้าหมายนั้นอยู่ที่กี่แรง งบเท่าใด และที่สำคัญประมาณตนเองไว้ด้วยว่า... แค่ไหน
...
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ แรงไปก็เท่านั้น น้ำมันแพง
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: wasin
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 20:48:28
เวลาออกแบบรถ
จะต้องรู้แรงที่มากระทำในแต่ละชิ้นส่วนของรถก่อน
อันดับ 2 พิจารณาดูว่า ชิ้นส่วนนั้น มันต้องขึ้นรูปด้วยวิธีอะไร
อันดับ 3 มาสุมหัวคิดเรื่องประเภทของวัสดุที่ต้องเอามาใช้
อันดับ 4 มาคำนวณหาขนาดของชิ้นงานนั้นๆ
โดยในขั้นตอนนี้สามารถกำหนดได้ด้วยกว่า
จะให้มันทนจากการใช้งานจริงได้กี่เท่า
เรียกว่า Factor of Safety (ค่าความปลอดภัย) มีสูตรคือ
แรงที่วัสดุจะถึงจุดขั้นแตกหัก / แรงที่อนุญาตให้ใช้แค่นั้น
เช่น สลิงเส้นนึง รับแรงได้ซัก 200 กิโลถึงจะเริ่มขาด
เวลาขายก็เขียนโฆษณาซะว่ารับได้แค่ 100 กิโล
Factor of Safety ก็ได้ = 2 เท่า
ทีนี้ปัญหาคือ เมื่อต้องการสนองความแรง
ชิ้นส่วนก็ต้องรับภาระมากขึ้น ค่าความปลอดภัยมันก็ต่ำลง
จนถึงจุดนึง ที่ทำเกินลิมิตของชิ้นงานนั้นจะรับได้
มันก็จะเริ่มบรรลัยทีละนิด จนมันรับไม่ไหว ทีนี้บรรลัยทั้งชิ้นเลย
------------------------------------------------------------------
ปัญหาหนักของคนแต่งรถ คือมักจะไม่รู้ว่า วิศวกรเขาเผื่อค่าความปลอดภัยมาไว้เท่าไหร่
ไม่มีข้อมูล ในหลายๆครั้งจึงโมดิฟายเกินลิมิตของวัสดุนั้น แต่เนื่องด้วยมันไม่ออกอาการในทันที
จึงคิดว่า มันรับไหว แต่พอใช้นานๆเข้า มันก็ทนไม่ไหว ก็พังขึ้นมา
--------------------------------------------------------------------
ขั้นตอนการเลือกวัสดุ ต้องคำนึงถึงความล้าด้วย
ความล้าหมายความว่า ชิ้นส่วนใดๆที่มันทำงานเป็นวัฎจักร
คือทำงานกลับไปกลับมาครบรอบไปเรื่อยๆ เช่น ลูกสูบ ปีกเครื่องบิน ฯลฯ
เมื่อใช้งานไปอาจจะหลายล้านๆรอบ วัสดุมันจะรับแรงได้น้อยลงกว่าเดิม
เช่น สลิงเส้นนึงอีกแล้ว ที่บอกไปว่าต้องเจอแรงไป 200 กิโลถึงจะเริ่มขาด
พอมันล้า มันอาจจะขาดเมื่อมีแรงถึงเพียงแค่ 150 กิโลเองก็ได้
-------------------------------------------------------------------------
อยากรู้วิธีทำรถก็ถามได้ครับ จะตอบให้เท่าที่รู้
เพราะตอนนี้ผมก็ทำรถสเปซเฟรมคันที่ 2 กันอยู่
ซึ่งได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา หลายวิชามากมายเลย
เรียนแต่ละวิชา ใช้คุ้มมากๆ
Re: 405d8 v.s. camry2.4 By: maxkrub
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2008 เวลา 21:25:59
อ่านของพี่โอ๊ตแล้ว ผมนึกถึง วิชา Mechanic of solids เลย
ผ่านมาด้วย D มีประจุ คริกๆ