Vlovepeugeot ชมรมคนรักเปอโยต์ (เปอร์โยต์) ประเทศไทย  พูดคุยทั่วไป ได้ทุกเรื่อง
Pages: 1
มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: wasin
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 07:28:59
รุ่นที่มันเก็บ datalog ได้หน่ะครับ

มีใครเคยใช้บ้างครับ


Re: มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: Kong@Peugeot
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 09:48:37
ไม่เคยครับ ไม่มีตัง
Re: มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: oakey115
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 15:57:57
Motec มันแพงครับ แพงทั้งกล่องแพงทั้งคนจูน น้องโอ๊ตสงสัยเรื่องไรครับ บอกไว้ก็ได้ครับ

เอาความรู้เรื่องกล่องมาฝากครับ

e-manage ฟ้า:


Function:
x scale ในการปรับตารางรอบเครื่องที่ละ 100 rpm
x ปรับน้ำมันตาม Airflow ได้ 16x16 ช่อง เพิ่ม/ลด น้ำมัน
x ปรับองศาการจุดระเบิดได้ 16x16 เพิ่ม/ลด องศาไฟจุดระเบิด ได้ -20/+20
x กรณีรถ set turbo หรือรถที่ต้องเพิ่มน้ำมันมากๆ ต่อสายคุมหัวฉีดได้ ปรับได้ 16x16 (เพิ่มน้ำมันได้ เท่านั้น)
x ปลดตัด Boost ได้ เช่น NA set BO หรือ เครื่อง turbo ที่ต้องการปรับ boost เพิ่ม
x กรณีเปลี่ยนหัวฉีดใหญ่ขึ้นน้ำมันจะท่วม สามารถคุ่มหัวฉีดที่เปลี่ยนได้
x คุมหัวฉีดเสริมได้ 2 หัว 16x16
x ปรับ VTEC ได้ เฉพาะ block B, H, D, F เท่านั้น Dimension, Jazz, Steam CRV ปรับไม่ได้ ถึงได้ก็ไม่มีประโยช์น VTEC เหล่านี้เปิดที่รอบ 2200-3000 อยู่แล้ว
x เก็บ datalog ได้ (แต่ต้องใช้ notebook)
x สั่ง option เพิ่ม จาก Greddy เพื่อปลด close loop ได้ [ตอนนี้กำลังทำตัวปลด close loop แบบ otop กำลังทดสอบอยู่ครับ]

e-manage Ultimate:


function:
x scale ในการปรับตารางรอบเครื่องที่ละ 50 rpm
x ปรับน้ำมันตาม Airflow ได้ 16x16 ช่อง เพิ่ม/ลด น้ำมัน
x กรณีรถ setbo หรือรถที่ต้องเพิ่มน้ำมันมากๆ ต่อสายคุมหัวฉีดได้ ปรับได้ 16x16 และพิเศษกว่ากล่องฟ้าตรงที่จะ เพิ่ม หรือลด ก็ได้
x รวมแล้วสามารถทำให้สามารถปรับ ได้ 30x16 (ทำมาแล้วสามารถยืนยันได้)
x ปลดลากรอบเครื่องได้เช่นรถผม [civic dimension เครื่องเดิมกระปุกตัวไม่มี vtec] ใช้รอบอยู่ 7800-8000 (จุดประสงค์นี้เพื่อเกียร์กระปุกเท่านั้น)
x LOCK รอบออกตัวได้เช่นการออกตัว quatermile ได้และถ้าเป็นรถ turbo ทำ misfire ได้
(กดคันเร่งเต็มที่รอบจะค้างอยู่ที่รอบที่เราตั่งไว้เ ช่น 4500 รอบ เวลายกคลัทช์ออกรอบเครื่องจะกลับมาเป็นปกติถ้าเป็นรถ turbo จะมี boost มารอด้วย ทำให้มีแรงออกตัวมากขึ้น)สำหรับเกียร์กระปุกเท่านั้น

x ปรับองศาการจุดระเบิดได้ 16x16 เพิ่ม/ลดองศาไฟจุดระเบิด ได้ -30/+30
x ปรับน้ำมันตาม อุณหภูมิน้ำได้
x ปรับองศาจุดระเบิดตาม อุณหภูมิน้ำได้
x ปรับน้ำมันตามอุณหภูมิของไอดี ได้
x ปรับองศาจุดระเบิดตามอุณหภูมิของไอดี ได้
x สามารถคุมอุปกรณ์ต่างๆตาม อุณหภูมิของไอดี และน้ำหล่อเย็นได้
เช่น สั่งให้พัดลมไฟฟ้าให้ทำงานก่อนอุณภูมิที่ผู้ผลิตปรับ ตั้งไว้ตอนแรก หรือสั่งให้ฉีดน้ำ intercooler เมื่อถึง intake temp ที่ตั้งไว้
x ปลดตัด Boost ได้ เช่น NA set BO หรือ เครื่อง turbo ที่ต้องการปรับ boost เพิ่ม
x คุมหัวฉีดเสริมได้ 2 หัว 16x16
x ปรับ VTECได้ หมด
x ปลด lock ความเร็ว 180 ได้เกือบทุกรุ่น
x กรณีเปลี่ยนหัวฉีดใหญ่ขึ้นน้ำมันจะท่วม สามารถคุมหัวฉีดที่เปลี่ยนได้
x สำหรับรถ เกียร์ auto แรงๆ เช่น JZ-GTE โมดิฟายเพิ่มเวลาเปลี่ยนเกียร์จะกระตุก มี functionแก้อาการนี้ได้
x เก็บ datalog ได้โดยไม่ต้องใช้ notebook
x มี switch อยู่ข้างกล่องที่ผู้ใช้รถสามารถปรับเลือกตารางน้ำมัน และองศาจุดระเบิดเองได้โดยไม่ต้องพึ่ง tuner
แต่ tuner ต้องตั้งไว้ให้ก่อน มีให้ใช้ 2 ตารางจะใช้งานในกรณีไหน?? เช่น จูนไว้สำหรับ octane 95 , 91 , 100 เป็นต้น
x มี AF FeedBack เป็น option ที่ต้องซื้อเพิ่มจาก Greddy สำหรับเวลาจูน อันนี้ไม่ขออธิบายมากนะครับเพราะเรื่องค่อนข้างยาว
x สามารถซื้อ Greddy remote อันเดียวกับตัวที่รถแรงๆใช้ปรับ boost controller เพิ่มคุ่ม function ต่างๆในกล่องได้
x สั่ง option เพิ่ม จาก Greddy เพื่อปลด close loop ได้

HKS F-CON SZ:


ตัวนี้เมื่อเทียบกับ e-manage ultimate ก็เหมือนรักพี่เสียดายน้องเพราะFCONSZ นั้น
ปรับตารางได้ละเอียดกว่าแต่ก็ขาดลูกเล่นไปเยอะเช่นปล ดรอบเครื่องไม่ได้, lock รอบออกตัวไม่ได้ ฯลฯ

x scale ในการปรับตารางรอบระเอียดกว่า e-manage ultimate
x ปรับน้ำมันที่หัวฉีดได้ 24x16 ช่อง +/-น้ำมัน
x ปรับองศาการจุดระเบิดได้ 24x16 +/- องศาจุดระเบิด
x ปรับน้ำมันตาม Water Temp ได้
x ปรับองศาจุดระเบิดตาม Water Temp ได้
x ปรับน้ำมันตาม Intake Temp ได้
x ปรับองศาจุดระเบิดตาม Intake Temp ได้
x ปลดตัด Boost ได้ เช่น NA set BO หรือ เครื่อง turbo ที่ต้องการปรับ boost เพิ่ม
x ปลด lock ความเร็ว 180 ได้เกือบทุกรุ่น
x มี switch อยู่ข้างกล่องที่ผู้ใช้รถสามารถปรับเลือกตารางน้ำมัน และองศาจุดระเบิดเองได้โดยไม่ต้องพึ่ง tuner
แต่ tuner ต้องตั่งไว้ให้ก่อน มีให้ใช้ 2 ตารางจะใช้งานในกรณีไหน?? เช่น จูนไว้สำหรับ octane 95 , 91 , 100 เป็นต้น
x สำหรับรถ เกียร์ auto แรงๆ เพิ่มเวลาเปลี่ยนเกียร์จะกะตุก มี function แก้อาการนี้ได้เหมือนกับUltimate
x มี AF FeedBack

สำหรับรถใช้งานทั่วไปเช่น civic dimension, altis, Jazz, Vios ฯลฯ ที่เน้นแอร์เย็นเพลงเพราะรถสวย โปรดฟังอีกครั้ง "ที่เน้นแอร์เย็นเพลงเพราะรถสวย" รถระดับนี้ e-manage กล่องฟ้าก็ดีพอแล้วครับใส่ ultimate หรือ F-CON ไปก็วิ่งไม่ต่างกันมากและก็ไม่ได้ใช้ function ทั้งหมดที่กล่องมีให้อย่างเป็นประโยชน์จริงจัง [จากประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ลองกับรถตัวเองมาแล้วทั้งกล่องฟ้า และ Ultimate] เปลืองเงินไปเปล่าๆ ม้า1ตัว กินเงินเยอะกว่า ค่าจูนก็แพงกว่าด้วย แบบนี้เก็บเงินไว้ทำท่อทำ header ทำกรอง ซึ่งเป็นส่วนประกอบเครื่องที่เป็นhardware แล้วใช้กล่องธรรมดาๆ ผลที่ได้ออกมาจะชัดเจนกว่าการที่ไม่ได้ปรับแต่งอะไรเ ครื่องเลย แต่ใช้กล่องใบละหลายหมื่นเพียงอย่างเดียว (ยกเว้นว่ารถโมดิฟายมาหนักๆ แรงม้าหลายร้อย A/Fแกว่งเป็นหมากระดิกหาง ทีนี้กล่องใบละหลายหมื่น จะได้ใช้ความสามารถของมันแน่ๆ แบบนี้คุ้ม)

ไหนๆก็ไหนๆแล้วมีคำถามมามากเกี่ยวกับพวกจอฟ้าทั้งหลา ยว่า"รถผมควรใส่อะไรดีต่างกันอย่างไรเพื่ออะไรฯลฯ" RSM, SAFCI, VAFCI, SAFCII,
VAFCII, และใหม่สุด AFC NEO จอสี ก็ขออธิบายไว้ตรงนี้เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับทุกท่านละก ันครับ


RSM: [REV Speed Meter]


จุดประสงค์เพื่อดูค่า รอบเครื่อง, ความเร็วรถ, Battery Voltage และปลดความเร็ว 180 ของเล่นต่างๆมีดังนี้

x วัดรอบเครื่อง
x ต่อ shiftlight ได้เช่นตั้งไว้ 5000 rpm ถึง 5000 rpm ไฟจะติด
x วัดความเร็วได้
x ดู Battery voltage ได้
x ต่อไฟไว้เตือนความเร็วได้เช่น ตั้งไว้ 100 เกิน 100 ไฟจะติด
x วัดระยะทางการเดินทางได้
x ปลด lock ความเร็ว 180 ได้เกือบทุกรุ่น
x จับเวลา 0-100m , 0-200m, 0-400m
x จับเวลา 0-100 km/h, 0-200km/h, xx-xxx km/h xx=ใส่ค่าเริ่มต้นเอาเอง xxx=ใส่ค่าสิ้นสุดเอาเอง
x วัดแรง G ของรถ (เป็น option ที่ต้องซื้อG-Sensorเพิ่ม)
x วัดแรงม้า โดยคำนวนจากแรง G per second (โดยส่วนตัวผมว่าค่อนข้างไร้สาระ วัดได้ห่วยแตกมากๆ รถผมวัดได้ 900 ม้า 4A-FEเดิมๆรุ่นน้องผมมันวัดได้ 342แรงม้า BULLSHIT !!!)
x ดูค่าสูงสุดของ data ต่างๆ ได้ เช่น รอบเครื่อง โวลต์แบต ความเร็วสูงสุด


SAFCI: [Super Airflow convert]


จุดประสงค์เพื่อปรับน้ำมันอย่างเดียวไม่สามารถปรับไฟ จุดระเบิดได้

x ปรับน้ำมันตาม airflow ได้ ตาราง 8 x 2
x ดูรอบเครื่อง, องศาลิ้นผีเสื้อได้ [หรือ % ของการกดคันเร่งได้]
x ในรถที่เป็น MAP [Manifold Absolute Pressure] sensor สามารถดู vac/boost ได้
x ดูค่าสูงสุดของ data ต่างๆ ได้ เช่น รอบเครื่อง

SAFCII: [Super Airflow convert]


จุดประสงค์เพื่อปรับน้ำมันอย่างเดียวไม่สามารถปรับไฟ ได้

x ปรับน้ำมันตาม airflow ได้ ตาราง 12 x 2
x ดูรอบเครื่อง, องศาลิ้นผีเสื้อได้ [หรือ % ของการกดคันเร่งได้]
x ในรถที่เป็น MAP [Manifold Absolute Pressure] sensor สามารถดู vac/boost ได้
x มี function กันเครื่อง knock ได้สำหรับรถบางรุ่นที่เขียนระบุไว้ในคู่มือผลิตภัณฑ์
x lock ไม่ให้มือบอนมาปรับตั้งน้ำมันเล่นได้
x ดูค่าสูงสุดของ data ต่างๆ ได้ เช่น รอบเครื่อง

VAFCI: [VTEC Airflow convert]


จุดประสงค์เพื่อปรับน้ำมันและ VTEC ไม่สามารถปรับไฟได้

x ปรับน้ำมันตาม airflow ได้ ตาราง 8 x 2
x ดูรอบเครื่อง, องศาลิ้นผีเสื้อได้ [หรือ % ของการกดคันเร่งได้]
x สามารถดู vac/boost ได้ [Honda ทั้งหมดเป็น MAP]
x ปรับ vtec ได้ เฉพาะ block B, H, D, F เท่านั้น Dimension, Jazz, Steam CRV ปรับไม่ได้ ถึงได้ก็ไม่มีประโยช์น vtec เหล่านี้เปิดที่รอบ 2200-3000 อยู่แล้ว
x ดูค่าสูงสุดของ data ต่างๆ ได้ เช่น รอบเครื่อง


VAFCII: [VTEC Airflow convert]


จุดประสงค์เพื่อปรับน้ำมันและ VTEC ไม่สามารถปรับไฟได้

x ปรับน้ำมันตาม airflow ได้ ตาราง 12 x 2
x ดูรอบเครื่อง, องศาลิ้นผีเสื้อได้ [หรือ % ของการกดคันเร่งได้]
x สามารถดู vac/boost ได้ [Honda ทั้งหมดเป็น MAP]
x มี function กันเครื่อง knock ได้สำหรับรถบางรุ่นที่เขียนไว้ในคู่มือ
x lock ไม่ให้มือบอนมาปรับตั่งน้ำมันเล่นได้
x ปรับ vtec ได้ ตามลิ้นผีเสื้อด้วย VAFCI ได้ตามรอบเครื่องเท่านั้น
x ปรับ vtec ได้ หมด มีประโยช์นสำหรับพวก K20A ฝาแดง
x ดูค่าสูงสุดของ data ต่างๆ ได้ เช่น รอบเครื่อง

AFC NEO: [Airflow convert NEO ย่อจากอะไรไม่รู้]


จุดประสงค์เพื่อปรับน้ำมันและ VTEC ไม่สามารถปรับไฟได้ เป็นตัวใหม่ล่าสุดจาก APEXi เป็นจอสี display ได้สวยหรู hi-so มาก
หลังจากจอฟ้า APEXi จะไม่ทำแยก VAFC และ SAFC และก็จะมาเป็นตัวนี้แทน

x ปรับน้ำมันตาม airflow ได้ ตาราง 16 x 2
x ดูรอบเครื่อง, องศาลิ้นผีเสื้อได้ [หรือ % ของการกดคันเร่งได้]
x ในรถที่เป็น MAP [Manifold Absolute Pressure] sensor สามารถดู vac/boost ได้
x ปรับ vtec ได้ ตามลิ้นผีเสื้อด้วย VAFCI ได้ตามรอบเครื่องเท่านั้น
x ปรับ vtec ได้ หมด มีประโยช์นสำหรับพวก K20A ฝาแดง
x ดู Battery Voltage ได้
x ดูค่าสูงสุดของ data ต่างๆ ได้ เช่น รอบเครื่อง

ครับอ้างอิงจาก http://rcweb.net/forums/showthread.php?t=138645
 หวังว่าคงเป็นประโยชน์มั่งนะครับ
Re: มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: oakey115
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 15:59:22
F-CON V Pro, F-CON V, F-CON SZ และสุดท้าย F-CON S ซึ่งก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะเห็นใช้กันอยู่สองรุ่นเป็นหลักนั้นก็คื อ F-CON V Pro กับ F-CON S ไม่ใช่รุ่นอื่นๆเค้าไม่ใช้กันนะ แต่ว่าส่วนใหญ่เห็นจะไป up-grade F-CON V ให้ไปเป็น V-PRO กันหมด (ไอ้กล่องสีทองๆ) หรือไม่ก็เล่น F-CON S เลย เพราะราคาถูกกว่ากันเยอะ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Piggy Back มาก่อนซึ่งถูกแล้วล่ะครับ F-CON นี้ทั้งหมดเป็น Piggy Back แต่มีอยู่รุ่นเดียวที่สามารถใช้แทนกล่อง ECU เดิมๆได้เลยโดยไม่ต้องพ่วงนั้นก็คือ F-CON V Pro ซึ่งสามารถเป็น Stand Alone หรือ Engine Management ได้

Piggy Back เป็นอุปกรณ์ Electronics ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปในลั กษณะต่างๆตามที่ผู้จูนต้องการได้ อย่างไรก็ดี Piggy Back ยังคงต้องต่อพ่วงกับกล่อง ECU เดิมๆ และ Piggy Back ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้ดังนี้:

1. Piggy Back ประเภทดักสัญญาณขาเข้า (Input) ก่อนเข้ากล่อง ECU

โดยจะทำหน้าที่แปลงสัญญาณหลังการอ่านค่าของ sensor เป็นรูปแบบของแรงดันกระแสไฟฟ้าหรือความถี่ (แล้วแต่ชนิดของ sensor) ก่อนเข้ากล่อง ECU เพื่อเป็นการประมวลผลในการสั่งจ่ายน้ำมัน,ไฟจุดระเบิ ด เป็นไปตามที่ต้องการ (เปลี่ยนไปจากที่โรงงานตั้งมาก่อนที่จะเข้ากล่อง ECU) เช่น ตอนแรก ณ.ระดับ 2500 RPM มีการวัดระดับไฟได้ที่ 1.2V หลังติดตั้ง Piggy Back เข้าไป Piggy Back จะเปลี่ยนค่าไฟจาก 1.2 V ไปเป็น 1.4V ตามที่เราจูนก่อนที่จะส่งสัญญาณไปเข้ากล่อง ECU นั้นเอง หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นการหลอก ECU ให้อ่านค่าเป็นไปตามที่เราต้องการ โดยแปลงสัญญาณจาก sensor ที่ส่งมาก่อนที่จะส่งเข้า ECU

อย่างไรก็ดี Piggy Back ประเภทนี้จะมีขีดจำกัดในการปรับแต่ง เนื่องจากเป็นแบบดักสัญญาณก่อนส่งเข้ากล่อง จึงไม่สามารถที่ปลดรอบเครื่อง หรือสั่งให้หัวฉีด ?ยก? ได้เกินกว่าเดิม เพราะทั้งหมดจะถูกล็อคและสั่งการโดยการประมวลผลของ ECU คือออกมาจาก ECU เลยไม่ได้มาจากการอ่านค่าของ sensor แล้วค่อยส่งเข้ามา

ดังนั้นเจ้า Piggy Back แบบนี้ก็หมดสิทธ์ที่จะไปดักสัญญาณก่อนเข้า (เหมือนผมหมดโอกาศที่จะไปดักเจอและหลอก Paula Taylor ระหว่างทางให้เธอหลงเข้าบ้านผมแทน เพราะเธอไม่ได้ผ่านมาแถวนี้) ทำให้กล่องประเภทนี้ ทำได้เพียง ปลดล็อคความเร็ว เพิ่มบูสท์ เปลี่ยนและปรับ Map ของน้ำมันกับไฟ เปลี่ยนจังหวะการเปิดปิดของ Valveแปรผัน (พวก Vtec-VVTi) และลูกเล่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลหลักของกล่อง ECU เช่นคุมหัวฉีด และอื่นๆ

ส่วนความละเอียดในการปรับจูนนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดขอ ง Piggy Back ชนิดนั้นๆ บางประเภทถูก Fix ตำแหน่งในการปรับมาได้ไม่กี่ที่เช่น พวก APEXi S-AFC / V-AFC ส่วนที่สามารถปรับได้ละเอียดทุกๆย่านความเร็วและรอบเ ครื่องเช่น Perfect Power ของ Smart Tuner (ซึ่งอันนี้บ้านเราไม่ฮิต) เป็นต้น

2. Piggy Back ประเภทดักสัญญาณขาออก (Out-put) จากกล่อง ECU

โดยกล่องประเภทนี้จะดักสัญญาณที่ส่งออกมาจากกล่อง ECU มาเข้าที่ตัวเองก่อนแล้วปรับแต่งค่าต่างๆของสัญญาณให ้เป็นไปตามที่ต้องการก่อนที่จะส่งค่าแรงดันกระแสไฟฟ้ าที่ปรับแต่งแล้ว ไปสู่หัวฉีดหรือ Ignition Module ทำให้ Piggy Back ประเภทนี้สามารถที่จะปรับแต่งเครื่องยนต์ได้อิสระมาก กว่าแบบแรก (เหมือนกับถ้าผมไปดัก Paula ตั้งแต่หน้าบ้านของเธอ ผมก็มีโอกาศที่จะหลอกเธอให้ไปกับผมและทำตามที่ผมต้อง การได้มากกว่าต้องไปดักรอเธอตอนกลับจากข้างนอก) เช่น Power FC และ F-CON ของ HKS ก็รวมอยู่ในชนิดหลังนี้ด้วย

ส่วน Engine Management จะมีหลักการทำงานโดยอิสระไม่ขึ้นกับ ECU เพราะจะใช้การประมวลผลที่ตรวจวัดโดยตรงของ sensor ซึ่งมีทั้งแบบที่ให้ใช้กับ sensor และสายไฟเดิมได้เลย ไม่ต้องมานั่งเดินสายไฟกันใหม่หมด แต่แบบนี้ก็มีจะมีข้อจำกัดเช่นหาก sensor เดิมรับบูสท์ได้เพียงแค่ 1.0 BAR แต่เราต้องการ Boost 1.5 BAR ก็ต้องมานั่งเปลี่ยน sensor กันใหม่หมด

ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือใช้ sensor ที่ติดมากับกล่อง Engine Management ซึ่งจะเสียเวลายุ่งยากในการติดตั้งเพราะต้องเดินสายไ ฟและ sensor ใหม่หมด แต่ข้อดีก็คือเราสามารถที่จะเลือกค่าต่างๆในการอ่านค ่าสัญญาณ ได้ตามใจคนจูน ที่นี้จะบูสท์กันกี่ BAR ก็ตามแต่สะดวก นอกจากนี้จุดเด่นของ Engine Management คือการที่มี function ต่างๆที่มีให้เล่นกันหลากลหาย (แล้วแต่ยี่ห้อนะครับ บางยี่ห้อก็เป็น function มาตรฐานบางยี่ห้อก็เป็น option ที่ต้องเสียตังค์เพิ่มเอง) เช่น Anti-Lag

โดยกล่องประเภท Engine Management นั้นส่วนใหญ่จะลงชื่อด้วย tech ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Motec Haltec Microtech และยังรวมไปถึง Power FC และ F-CON V Pro (เท่านั้นนะครับ F-CON ตัวอื่นๆไม่เกี่ยว) ที่สามารถเป็นได้ทั้ง Piggy Back และ Engine Management ได้ด้วย แล้วแต่จะเลือก

หลังจากที่รู้แล้วว่า Engine Management กับ Piggy Back มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร เราลองมาดูกันดีกว่าว่า เจ้ากล่อง F-CON เนี่ยมันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร

กล่อง F-CON เป็นผลผลิตของบริษัท HKS ที่ได้ทำการคิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์ที่จะใช้ในการควบคุ มระบบเชื่อเพลิงและการจุดระเบิด โดยปู่ของเจ้า F-CON มีชื่อว่า Programmed Fuel Computer System หรือที่เรารู้จักในชื่อ PFC F-CON โดยมันถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกบวมๆใบนี้ตั้งแต่ปี 1985 นู้น โดยมันสามารถปรับจูนปริมาณการฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิ งฝนแต่ละรอบเครื่องยนต์และความดันในท่อร่วมไอดีทุกๆค ่าได้

อย่างไรก็ดีมันยังไม่มี Function FCD (Fuel Cut Defencer) หรือที่เรารู้จักกันในนามตัวป้องกันการตัดน้ำมัน และตัว GCC (Graphic Control Computer) ซึ่งเป็นตัวทำหน้าที่ปรับค่าการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และองศาการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ ทำให้ต้องพ่วงอุปกรณ์เสริมทั้งสองอย่างนี้อยู่ตลอด

กล่อง F-CON เป็นผลผลิตของบริษัท HKS ที่ได้ทำการคิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์ที่จะใช้ในการควบคุ มระบบเชื่อเพลิงและการจุดระเบิด โดยปู่ของเจ้า F-CON มีชื่อว่า Programmed Fuel Computer System หรือที่เรารู้จักในชื่อ PFC F-CON โดยมันถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกบวมๆใบนี้ตั้งแต่ปี 1985 นู้น โดยมันสามารถปรับจูนปริมาณการฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิ งฝนแต่ละรอบเครื่องยนต์และความดันในท่อร่วมไอดีทุกๆค ่าได้

อย่างไรก็ดีมันยังไม่มี Function FCD (Fuel Cut Defencer) หรือที่เรารู้จักกันในนามตัวป้องกันการตัดน้ำมัน และตัว GCC (Graphic Control Computer) ซึ่งเป็นตัวทำหน้าที่ปรับค่าการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และองศาการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ ทำให้ต้องพ่วงอุปกรณ์เสริมทั้งสองอย่างนี้อยู่ตลอด

ต่อมาในปี 1995 HKS พัฒนาโปรแกรมจนกลายเป็น F-CON V (รุ่นลูก) ซึ่งสามารถทำงานบน Window 95 (ส่วนตัว PFC F-CON ยังทำงานบน dos) และยังมี Function FCD และ GCC อยู่ภายในกล่องมาให้เรียบร้อย ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปซื้ออุปกรณ์เสริมมาพ ่วง นอกจากนี้กล่อง F-CON V ยังสามารถปรับตั้งองศาไฟจุดระเบิด รวมถึงยังมีโปรแกรม Power Writer ซึ่งเป็นตัวปรับตั้ง เพื่อใช้ทำงานบน Window 95 ด้วย

แต่ F-CON V ก็ยังมีความยุ่งยากในการปรับจูนอยู่ดี ทำให้ HKS ได้นำ F-CON V ไปปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ออกมาในปี 1998 เป็น F-CON V Pro กับ F-CON S ซึ่งรองรับกับระบบ Windows 98 ข้อแตกต่างที่สำคัญของกล่องรุ่นหลาน กับ F-CON V ธรรมดาก็คือความง่ายในการปรับจูน รวมไปถึงความสามารถในการรองรับการเล่นท่าแปลกๆ แบบพิลึก พิลั่นเหมือนในหนังญี่ปุ่น (ผมหมายถึงหนังแต่งรถญี่ปุ่น ที่ชอบคิดอะไรแปลกๆนะครับ อย่าพึ่งคิดลึก) ต่างจากตัว F-CON V ธรรมดาที่มีข้อจำกัดของตัวโปรแกรม รวมไปถึง Range ของค่าต่างๆ ที่มีอยู่ในกล่อง
โดยข้อแตกต่างของ F-CON S กับ F-CON V Pro สามารถแยกเป็นข้อๆแบบคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ:

1. F-CON S ยังจำเป็นที่จะต้องรับสัญญาณขาเข้าของ sensor มาคำนวนและปรับแต่งค่าตามที่ต้องการก่อน แล้วจึงส่งให้กับ ECU ติดรถ เมื่อ ECU ส่งสัญญาณออกมาที่กล่อง F-CON S เพื่อให้ตรวจสอบค่าที่ถูกต้องรวมไปถึงปรับเปลี่ยนค่า ต่างๆให้เหมาะสม จากนั้นจึงกำหนดองศาการจุดระเบิดและปริมาณการฉีดจ่าย น้ำมันไปยังเครื่องยนต์ พูดง่ายๆก็คือ F-CON S จะทำการดักสัญญาณทั้งขาเข้าและขาออกเพื่อตรวจสอบและป รับแต่งค่าต่างๆให้เหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ดี F-CON S ยังจำเป็นที่จะต้องรับค่าต่างๆจากกล่อง ECU เดิมอยู่ดี หรือเป็นได้แค่ Piggy Back

ส่วน F-CON V Pro นั้นจะรับค่าต่างๆจาก sensor โดยจะประมวลผลรวมถึงปรับแต่งค่าเหล่านั้น และส่งค่าต่างๆที่ถูกกำนหดใหม่ออกจากกล่อง F-CON V Pro ไปกำหนดองสาไฟจุดระเบิดและปริมาณการจ่ายน้ำมัน ไปยังเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรอรับข้อมูลจา ก ECU เดิมเหมือนกับ F-CON S ส่วนข้อมูลมาตรฐานจะส่งผ่าน กล่อง F-CON V Proกลับไปที่ ECU เดิม(เช่นระบบความคุมแอร์ ) ดังนั้น F-CON V Pro ไม่จำเป้นที่จะต้องพึ่งข้อมูลเดิมจากกล่อง ECU คือสามารถทำงานได้แบบ stand alone หรือเป็นกล่องแบบ Engine Management ซึ่งทำให้ F-CON V Pro สามารถปรับแต่งข้อมูลและกำนหนดค่าต่างๆได้อิสระ กว่า

2. F-CON S จะมีค่า default ที่เป็นโปรแกรมสั่งการในขั้นเริ่มต้นมาให้ โดยจะเป็นค่าที่จะปรับแต่งเครื่องยนต์มาให้แบบ Light Tune ซึ่งค่าที่ให้มาจะเป็นของเครื่องยนต์แต่ละรหัสของรถแ ต่ละรุ่น เช่น 2JZ GTE ในรถ JZA80 เป็นต้น ซึ่งค่าเหล่านี้จะสามารถใช้ได้กับ spec รถและเครื่องยนต์นั้นๆ แม้ว่าจะเป็นเครื่องรหัสเดียวกัน แต่ว่าอยู่ในรถคนละคันก็ไม่สามารถใช้กันได้ นอกจากนี้ค่าที่ set มาใน Step Light Tune นี้จะเป็นค่าที่ถูกกำหนดมาสำหรับรถที่ใช้ octane 100 (เพราะในญี่ปุ่นเบนซินซูเปอร์จะไม่ใช่แค่ 91 ครับแต่เป็น 100 ) รวมไปถึงชุดหัวฉีดที่ใช้ต้องเป็นของเดิม และ บูสท์ไม่เกินค่าที่กำหนดไว้ด้วย ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนปั้มเบนซิน หรือเปลี่ยนหัวฉีด รวมไปถึง บูสท์เกินกว่าที่กำนหด จำเป็นที่จะต้องไล่จูนป้อนค่าต่างๆที่ต้องการกันใหม่ หมด ไม่สามารถใช้ค่า default ที่กล่อง F-CON S มีมาให้ได้ แต่ถ้าทุกอย่างยังเป็น Standard ก็แค่กำหนดค่าน้ำมัน octane ใหม่ (คือยังไงก็ต้องจูนใหม่ แต่จูนนิดเดียว)

ส่วน F-CON V Pro นั้นจะมาแบบว่างเปล่าเลย (เหมือนตอนก่อนเริ่มเรียนหนังสือ) ไม่มีค่า default เริ่มต้นมาให้ทำให้ทุกๆค่าจำเป็นที่จะต้องไล่ป้อนค่า กันใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะยุ่งยากสำหรับรถที่มีสภาพ standard ชิ้นส่วนต่างๆทั้งหมดเกือบเดิมสนิท ต้องการแค่แบบ Light Tune นั้นเอง

3. F-CON S มีความฉลาดหรือที่เรียกว่าความละเอียดในการจูนนั้นน้ อยกว่า F-CON V Pro เนื่องจากหน่วยความจำในการควบคุมและสั่งการเครื่องยน ต์ของ F-CON V Pro มีจำนวนมากกว่าของ F-CON S

4. F-CON S มีราคาถูกกว่า F-CON V Pro เนื่องจากมีหน่วยความจำในการสั่งการและควบคุมเครื่อง ยนต์น้อยกว่า แต่ F-CON S สามารถปรับจูนได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีค่า default มาให้อยู่แล้วในกล่อง (สำหรับรถที่เป็นแบบ Light Tuning) ส่วน F-CON V Pro นั้นจูนยากกว่าเยอะ เนื่องจากไม่มีค่า default เริ่มต้นมาให้ ทำให้จำเป็นต้องนั่งเขียนค่าทั้งหมดใหม่เลย นอกจากนี้ F-CON V Pro ไม่สามารถบอกทุกๆอย่างเกี่ยวกับตัวรถได้ เพราะรับสัญญาณค่าเข้าจาก sensor แล้วจึงนำค่าที่ได้ไปแปลงแล้วกำหนดองศาการจุดระเบิดแ ละปริมาณการฉีดจ่ายน้ำมันของเครื่องยนต์ แต่ไม่ได้ควบคุมระบบอื่นๆของรถ เช่นการ เปิดแอร์ปิดแอร์ ดังนั้นหากยังต้องการให้รถของคุณสามารถใช้งานได้ทุกว พันยังจำเป็นที่จะต้องพ่วง F-CON V Pro กับกล่อง ECU เดิมติดรถอยู่ดี แต่ถ้าไม่แคร์ว่าไม่มีแอร์ก็ไม่เป็นไร อากาศเมืองไทยมันโคตรเย็น จะใช้ F-CON V Pro แบบ stand alone ก็ได้ไม่มีปัญหา

5. แม้ว่า F-CON S จะมีราคาถูกกว่า และมีหน่วยความจำในการสั่งค่าและควบคุมเครื่องยนต์น้ อยกว่า F-CON V Pro รวมถึงมี range ในการจูนได้น้อยกว่า (พูดง่ายๆก็คือมีข้อจำกัดมากกว่าหากต้องการจะทำเครื่ องเยอะๆ) แต่ถ้าเป็นการจูนแบบใช้งานทั่วไปไม้ได้ boost บ้าพลัง คลั่งแรงม้า มากนัก F-CON S ก็สามารถที่จะสร้างแรงม้าและแรงบิดได้ไม่แพ้ F-CON V Pro สักเท่าไร จากตัวอย่างข้อมูลของ HKS ญี่ปุ่นมีดังนี้ครับ ในการจูน JZA 80 เครื่องยนต์ 2JZ GTE Turbo T04 R ด้วยหัวฉีดขนาด 650 cc. (ของเดิมขนาด 480 cc.) ใช้ F-CON S ในการจูนสามารถสร้างแรงม้าได้ที่ 485 แรงม้า ส่วนของ F-CON V Pro สามารถสร้างแรงม้าออกมาได้ 508 แรงม้าซึ่งจะเห็นว่า F-CON S มีแรงม้าน้อยกว่า F-CON V Pro อยู่ประมาณ 23 ตัว สำหรับบางคนอาจจะมองว่ามันเยอะนะ แต่ว่าถ้ามองในแง่ของเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มแล้วล่ะก็ มันก็น่าจะ OK ใช่ไหมครับ

ส่วนความสามารถในการสร้างแรงม้าของ F-CON S กับ F-CON V ธรรมดานั้นแถบจะไม่ต่างกันเลยคือ F-CON V สามาถสร้างแรงม้าได้ 487.5 ซึ่งมากกว่า F-CON S เพียง 2.5 ตัวเท่านั้น จุดที่เหมือนกันของ F-CON S กับ F-CON V Pro ก็คือจะมี function ปลดล็อคความเร็ว และปลดล็อคบูสท์มาให้เรียบร้อยแล้วทำให้ไม่มีความจำเ ป็นที่จะต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมเข้าไปอีก

ก่อนจะจูนเราก็ต้องติดตั้งก่อนโดยกล่อง F-CON S กับ F-CON V Pro จะมีชุด Harness ที่ใช้สำหรับต่อพ่วงเข้ากับกล่อง ECU เดิมของรถยนต์ถ้าเป็นของ F-CON S จะเป็นแบบ Plug in ได้เลยถ้ากล่องนั้นตรงกับเครื่องยนต์และรถรุ่นนั้นๆ ไม่ต้องเสียเวลาเดินสายไฟให้เมื่อยตุ้ม

แต่ถ้าเป็นของ F-CON V Pro แล้วอาจจะต้องไล่สายไฟใหม่บ้างบางจุดไม่ได้เป็นแบบ plug in เหมือนกับ F-CON Sทั้งหมด แหมก็ของมันแพงต้องยุ่างยากในการใช้หน่อยสิ ซึ่งก็คงป็นหน้าที่ของช่างที่จะติดตั้งหรือไม่ก็คนจู น แต่ถ้าอยากจะลองเดินสายไฟเอาเองก็ตามสะดวกครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นมักจะเป็นแบบเหมาจ่ายเหมือน Package มือถือ คือจ่ายทีเดียวรวมติดตั้ง จูน แล้วก็เก็บงาน (ส่วนหลังจากนั้นจะพังไม่พังไม่เกี่ยวแล้วนะครับ)
สำหรับการปรับแต่งค่าต่างๆ เพื่อ Tune เครื่องยนต์ให้ไปตามที่เราต้องการ นั้นจะใช้ program Power Writer ซึ่งเป็น program ที่ HKS ใช้ในการปรับแต่งค่าต่างๆของ F-CON S กับ F-CON V Pro การใช้ program นี้จะทำให้สามารถควบคุม ปรับแต่งการสั่งจ่ายน้ำมันและองศาไฟจุดระเบิดกันใหม่ หมดเพื่อให้ Match กับเครื่องยนต์ที่ทำmodify ขึ้นมาใหม่ ซึ่งขั้นตอนการปรับแต่งค่าต่างๆ นั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก
Re: มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: oakey115
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 16:14:14
พวกกล่องโม สำนักต่างๆ blizt mine พวกนี้ ก็เป็นการทำรอมขึ้นมาใหม่ครับ (เช่นกล่องเดิม จ่ายน้ำมันเท่านี้ ที่อัตราบูสเท่านี้ เค้าจะไปแก้หรือสร้างใหม่   

ให้มันจ่ายน้ำมันมากกว่าเดิมหรือจ่ายไฟองศาต่างๆ เพื่อให้วิ่งได้เต็มประสิทธิภาพ ตัดบูส ตัด180 ปิดการทำงานแบบ close loop เพื่อให้ได้ใจวัยซะรุ่น อิอิ

พูดง่ายๆก็คือว่ามันก็เหมือนสร้างกล่องใหม่ขึ้นมาแต่ มันไม่ดีตรงที่ เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกถ้าอัพเสต็ปเทพไปอีก  คือยังไงก็ไม่ดีเท่ากล่องจูนแน่นอนครับ

กล่องโมพวกนี้ต่างประเทศจะขายเป็นชุดคิตครับ จะมาทั้ง โบ หัวฉีด แคม (กำหนด spec ที่แน่นอน) แล้วต้องใส่กล่องใบนั้นใบนี้ เป็นชุดๆไป เอามาใส่เครื่องเดิมอ่ะมันวิ่งดีกว่าเดิมแน่นอนครับ

แต่ก็ไม่แน่อีกแหละ  ซึงผมเองก็ดิ้นรนได้แค่นี้คือ กับ เึึครื่อง 3S-GTE เซ็ทโบนอนแอร์ ทำฝา ไส้เล็กน้อย

ก็เอาแค่กล่องMinesก็พอครับ  โอ๊วๆๆๆ ยอดจริงๆๆ

เพราะถ้าแรดไปเล่นกล่อง e-manage ฟ้า ก็11000+ชุดสาย ค่าติดตั้ง 2000 จูน 4000-6000 แต่สามารถเล่นอะไรได้เยอะกว่ามากครับ

น่าจะจบ 20000 แต่หลังจากนั้นก็ขยับสเตปได้ง่ายก็จริง แต่ตอนนี้ผมขอแค่ต้นมาจัดกว่ากล่องเดิม ก็พอครับ ไว้แว๊นด์แข่งกับมอไซด์ตอนไฟเขียว

กับงบไม่เกิน 5000 กับกล่อง Mines มือสองนะครับ ส่วนอนาคตก็คงต้องใช้กล่องจูนแน่ครับ เพราะหากหาเบนซิน95เติมลำบากจริงๆ ก็คงต้องจูนกล่องให้ใช้โซฮอล์95ได้แทนครับ

 Aah
Re: มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: 405spec C
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 19:48:11
โอ้ รุ่นใหญ่
Re: มีใครเคยใช้กล่อง ECU แต่งจาก MoTec บ้าง By: wasin
วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2008 เวลา 20:32:54
พอดีมีคนใช้ให้ผมมาหาข้อมูลครับ

Motec ตัวที่เก็บ datalog ได้แบบไม่ต้องเสียบโน๊ตบุ๊คครับ

อยากถามว่า ใช้ไปนานๆแล้ว มันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า  ข้อมูลสูญหายหรือไม่ครับ

แล้วก็รุ่นที่ส่ง datalog แบบ real - time ได้ครับ  ผมเข้าใจว่าภาคส่ง ต้องส่งจากกล่อง

แ่ล้วภาครับครับ ต้องไปซื้ออะไรของเขาเพิ่มหรือเปล่าครับ


ขอบคุณครับ