Vlovepeugeot ชมรมคนรักเปอโยต์ (เปอร์โยต์) ประเทศไทย

สวัสดีครับ วันนี้เอาบทความที่เคยเขียนๆไว้ สองสามปีมาแล้ว มาฝากไว้สำหรับ แฟนๆ เจ้าตัวเล็ก

กล่าวกันว่าถ้าเปอร์โยต์ไม่ได้ผลิตตระกูล 205 ออกมาในวันนั้นก็คงไม่มี เปอร์โยต์และอุตสาหกรรมยานยนต์ของฝรั่งเศสคงไม่รุ่งเรืองจนถึงวันนี้
อันเป็นที่มาของ หัวเรื่อง 205 Un Sacr? Num?ro...


เปอร์โยต์ 205 เป็นรถที่จัดอยู่ในประเภท โมเดอร์นคลาสสิค (Modern Classic) ประมาณว่าแบบไม่เก่าไม่ใหม่ บางคนก็เรียกว่า ซูเปอร์มินิ หลายคนเข้าใจว่าสำนักฟินินฟารินา ณ อิตาลี เป็นผู้ออกแบบเจ้า 205 แต่ลุง เกรัลด์ เวลเทร์ (GERARD WELTER) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมออกแบบของ เปอร์โยต์ฝรั่งเศสบอกว่า บ่แม่นดอก ทีมข้อยนี่แหละเป็นคนเขียนแบบ พวกอิตาลีนั่นออกแบบเฉพาะรุ่น CTi เปิดประทุน...ก็ว่ากันไป

เมื่อปีที่แล้ว 2008 เป็นการครบรอบ 25 ปีตั้งแต่เจ้าตัวเล็กได้กำเนิดมาในปี 1983 (พศ. 2526)



สถิติและอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Peugeot 205

- ตลอดเวลาที่อยู่ในสายการผลิตกว่าสิปปี (สิ้นสุดการผลิตประมาณ 1997) เจ้าจิ๋ว 205 ขายไปทั้งสิ้น ห้าล้านสองแสนกว่าคัน
- ในปี 1990 นิตยสาร CAR Magazine จัดให้เป็น รถแห่งทศศตวรรษ (Car of the Decade)- ผลิตได้ปีเดียวก็ติดหนึ่งในสาม European Car of The Year
- เป็นรถที่ออกมาก็ขายดิบขายดีตั้งแต่เกิด และ ตั้งแต่ผลิตจนเลิกผลิต 205 ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหน้าตา (Facelift) เลย อย่างมากก็มีตากลม ตาเหลี่ยม แม้แต่คอนโซลหน้าปัทม์ก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

- 205 GTi ก็ได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็น One of The Best Hatchback Car of all time

- และเมื่อแต่งตัวลงแข่งแรลลี่ไม่ว่าสนามใหน ก็ชนะมาตลอดจนเบื่อเลิกแข่งไปเอง

จริงๆแล้วแนวคิด สิงห์น้อย 205 เริ่มมาหลังจากเปอร์โยต์เข้าไปซื้อกิจการของ Simca ในปี 1978 ซึ่งเป็นจ้าวแห่งรถเล็กในตอนนั้น เปอร์โยต์ยุคนั้นผลิตรถหน้าตาแนวอนุรักษ์นิยมและอลังการ (Saloon) อาทิ 505 404 มีตัวเล็กก็ 104 ซึ่งหน้าตาก็ออกแนวๆ โบๆ งั้นๆ พอออก 205 มาก็ช๊อคโลกขณะนั้นไปเลย

ตอนแรกๆ เอาเครื่องยนต์ของ 104 รหัส Douvrin มาใส่ หลังๆก็เปลี่ยนเป็นรุ่น XU และ TU มีให้เลือกตั้งแต่ 954-1,905 ซีซี และตามมาสารพัดรุ่นเกือบยี่สิบแบบ ทั้งเบนซิน ดีเซล คาร์บิว หัวฉีด...

ตอนที่เปอร์โยต์เอาเครื่องยนต์เดิมๆ ของ 104 มาใส่ใน 205 (ปี 1983) สร้างความอืดเฟ้อเรอเปรี้ยว ไม่ถูกใจโจ๋ ฝรั่งเศส เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเครื่องยนต์ หนึ่งลิตร 45 แรงม้า (อยากจะบอกว่า อีแต๋น ยังเร็วกว่า แรงกว่าเห็นๆ) ขับไปดมควันชาวบ้าน เสียอารมณ์ อย่างแรงและแม้ว่าถึงเปอร์โยต์จะแก้ตัวด้วยเครื่อง 1.1 และ 1.4 ตามมาก็ยังไม่โดน

ผ่านไปปีกว่า ทีมพัฒนาสิงห์เผ่น จึงจะบรรลุเข้าถึงจิตวิญญาณของเจ้าตัวน้อย และค้นพบตัวตนที่แท้จริงของ 205 เพราะอะไรหรือ...

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ 205 คือการเอาระบบช่วงล่างแบบ Macpherson Struts ด้านหน้าและแบบ Torsion Bar ด้านหลัง (ยกแบบอย่างเอามาจากพี่ 305) การออกแบบช่วงล่างแบบอิสระสี่ล้อ ผสานกับระบบทอร์ชั่นบาร์และเทรลลิ่งอาร์ม ทำให้เป็นระบบช่วงล่างที่ลงตัว เล็ก ลงตัว และเรียบง่าย การออกแบบระบบช่วงล่างกันกระเทือนหลังแนวนอนทำให้มีพื้นที่กว้างขวางในรถ แล้วยังให้การขับที่ให้อารมณ์หนึบยังกับตีนตุ๊กแก และควบคุมง่าย ขับสนุก ซึ่งหาไม่ได้ในรถขนาดเดียวกันในขณะนั้น

จะขาดก็แต่ขุมพลังที่เหมาะสม

...จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1986...ฟ้าก็รำคาญส่ง 205 GTi ลงมาให้กับชาวโลกพร้อมเครื่องยนต์คู่ใจ..

XU5J สำหรับ GTI 1.6 115 แรงม้าและ XU9JA สำหรับ GTI 1.9 126 แรงม้า โดยรวมเครื่องสองเครื่องจะคล้ายๆกันต่างกันที่ ช่วงชัก (Stroke) ระบบหัวฉีด (Fuel Injection) และระบบระบายความร้อนน้ำมันเครื่อง (Oil Cooler) บรรดาขาซิ่งฝรั่งแว้นซ์ฟันธงว่า ได้คนละอารมณ์ ตัว1.6 ซึ่งช่วงชักสั้นกว่าจะแรงตีนต้น ดุดัน ตัว1.9 เด่นที่ทอร์คเยอะ และตีนปลายใหลลื่น

ด้วยน้ำหนักตัวเจ้าจิ๋วที่ไม่ถึงตัน ม้าเฉลี่ยต่อน้ำหนักสิบกิโลต่อหนึ่งตัว แถมยังไม่ใช่ม้าลำปาง(หนาวมาก)ที่เอาไว้ลากรถ จะเอาอะไรมาเหลือหละครับพี่น้องงงง

...มาพร้อมกันกับความแรงระเบิดระเบ้อ คือของแถม อาการโอเวอร์สเตียร์ (ปัดท้ายถ้าเข้าโค้งแรงๆ) พร้อมปัด สะบัดสบิ้งได้ทุกเมื่อ แรกๆไม่มีเพาเวอร์พวงมาลัย แต่แม่นยำ เฉียบคมและไว้ใจได้ แถมยังไม่มีระบบตัวช่วยควบคุมตัวช่วยแบบอิเลคโทรนิคส์ใดๆ ให้วุ่นวายซับซ้อน (จะมามีเพิ่มให้ในรุ่นหลังๆ)

เอาง่ายๆว่า ดิบๆ เถื่อนๆ แบบม้าพยศ และสาวเปรี้ยว หากแต่เมื่อใดก็ตามที่คุณเอาอยู่ ปราบพยศได้ คุณจะรู้ว่านี่แหละรถที่เอาไว้ขับโดยแท้จริง ไม่ใช่แค่เหล็กกระป๋องนมมาหุ้มเครื่อง เคลื่อนที่ได้...

บรรดานักวิจารณ์ ขาโจ๋ทั้งหลาย ต่างก็สรรเสริญเอาไว้ว่า เป็นหนึ่งในรถขับหน้าที่ให้อารมณ์เดียวกับขับหลัง บูชา บูชา...

หลังจากที่ส่วนผสมลงตัว ด้วยเพียงเวลาสองปี 205 ก็ขายออกไปกว่าล้านคันและผงาดเป็นผู้นำในตลาดยุโรบ สิงห์น้อยพร้อมทีมงานก็ร้อนวิชาลงสนามแข่ง...

เปิดตัวด้วยรุ่น 205 Turbo 16 สิงห์ปีศาจน้อยอันลือลั่น จนเป็นตำนาน (จนพริกแหลกละเอียด) บุกกวาดรางวัลไปทั่ว ตั้งแต่ปารีสไปจนถึงดักการ์ ทั่วแคว้นแดนยุโรบ ยังกะเจงคิสข่านบุกไปตีเมืองขึ้น

ทราบหรือไม่ว่าเปอร์โยต์ เป็นรถยนต์คันแรกในโลกที่ทำหลังคาแบบ คาบริโอเล็ต ตั้งแต่ปี 1934 และในปีถัดมาก็มีรถรุ่น 402 Andreau ซึ่งเป็นรถแบบแอโร่ไดนามิคแบบแรกของโลก สุดล้ำ อึ้งกิมกี่และในปี 1979 ก็วางเครื่องดีเซลเทอร์โบ ในรุ่น 604 เป็นเจ้าแรก ในปี 1974 ก็ไปซื้อหุ้น 30% และเทคโอเวอร์ ซีตรอง ในอีกสองปีต่อมา แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็น PSA (Peugeot Societe Anonyme) ก็คงหายสงสัยว่าทำไมรถสองยี่ห้อนี้มีอะไรหลายๆอย่างใช้ร่วมกันได้ ยังไม่พอ ในปี 1978 ก็ไปฟาด ไครสเลอร์สาขายุโรปมาอีก จึงไม่แปลกที่จะเห็น โอเปิ้ลใช้เครื่องเดียวกะ 205 และ ซีตรอง AX แต่ภายหลังก็ขายทิ้งไครสเลอร์ไป

...แต่ก็เหลือ ลูกเมียน้อยไว้ให้ดูต่างหน้าคือ 309 ซึ่งเอามาจากรุ่น Chrysler Arizona 1986

เครื่องยนต์ 205 จริงๆแล้วมีมากกว่า 20 แบบทั้งเบนซิน และดีเซล ไล่มาตั้งแต่ 954 c.c. 44 แรงม้า ไปจนถึง เครื่อง 1900 XU9JA 126 แรงม้า อันนี้แบบ แตนๆ นะครับยังไม่ได้โม

สเตปเทพ ก็มี '16V' Peugeot/Citroen (XU9J4 Type D6C / XU9J4Z Type DFW) ที่ใช้ในตัว Citroen BX 19 GTI 16V หรือ 405 Mi16 สเตปมาร ก็ติดเทอร์โบ หรือซูเปอร์ชาร์ท เข้ากับเครื่องเดิมที่ว่า ก็ขึ้นไปสองร้อยแรงม้า...กับอีกสามแรงโม้

แต่ถ้ามารกว่าแบบไทยๆก็ลง เจ ไปเลย ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของสาวก 205 เท่าไหร่ ประมาณว่า เสียของ ไม่ได้ฟิวด์

ส่วน 205 รุ่น T16 EVO (แน่ะทำยังกะมิตซู ใครลอกใครหว่า) เป็นตัวแข่ง Group B (ที่ไม่ใช้กรุ๊ปเลือดนะครับ) 16 วาล์วเทอร์โบ ย้ายเครื่องไปวางกลาง ขับสี่ล้อ เครื่อง XU8T 1,700 c.c. เทอร์โบของ Garrett 450 bhp ที่ 8000 รอบ น้ำหนักรถ 910 กิโลกรัม แรงเป็นบ้าเป็นหลัง แรงระเบิดระเบ้อ

แต่ในปี 1987 ทาง FIA ก็ยกเลิกการแข่งกรุ๊ปบี เนื่องจากความที่รถแรง ชนผู้ชมตายเป็นเบือ คนขับก็เจ็บตายกันระนาว อันเป็นที่มาของหนังและเกมส์ Death Race (รึเปล่า) สรุปว่าต้องไปแข่ง ไปดูกันในนรกแทน แข่งบนสวรรค์คงไม่มันเท่าไหร่ ทางมันเรียบไปและโรยด้วยกลีบกุหลาบ ในนรกมีทั้งขวากหนามและหม้อทองแดงมันกว่าเยอะ อันนี้ดูจากรูปตรงกำแพงวัด ยังไม่เคยไปครับ รู้แต่ว่าเวลาไปสวรรค์แล้วฟ้าเหลือง...นอกเรื่องอีกแล้ว

ซึ่งไม่ต้องบอกว่า 205T16 กวาดแชมป์มาเรียบร้อยในปี 1895-96 คู่แข่งมีทั้ง Audi Lancia Ford ตัวเบิ้มๆ เจ็บๆทั้งนั้น แต่ก็เสร็จเจ้าเล็กซ่าส์

หลังจากนั้นก็ไปลงแข่ง Paris - Dakar, Pikes Peak and Le Mans แต่ละอันอย่างโหดมันฮา เจ้าซ่าส์ก็กวาดแชมป์เรียบอีกห้าปีซ้อน

205 T16 ผลิตออกวางตลาดเพียง 200 คัน สเปคแข่งขับสี่ วางเครื่องกลาง แต่ด้วยความเกรงใจพี่ตำหนวดทางหลวง จึงลดแรงม้าลงเหลือ 197 แรงม้า นี่ขนาดลดแล้วนะเนี่ย
205 สามประตู Hatchback (ที่ไม่ใช่ GTI นะครับ) Junior/XE/Look/Style/Base/XL/XL Auto
205 รุ่น ห้าประตู Hatchback GR เห็นได้ทั่วไปในบ้านเรา
205 GTI 3 ประตู
205 CJ หรือ CTi เปิดประทุน หลังคาผ้าใบ คันนี้ออกแบบและโมดิฟายโดย ฟินินฟารินา
1990 205 GTI เป็นรถที่มีสถิติยอดถูกขโมยสูงมากในฝรั่งเศสและยุโรบ เนื่องด้วยความหล่อเท่ห์ ไม่ปราณีใคร ทำให้ค่าประกันภัยสูงสุดติ่ง
1992 1.6GTI ก็เลิกผลิตเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์ อย. เอ้ยไม่ใช่ มาตรฐานไอเสีย คงเหลือแต่ 1.9GTI แต่ก็ถูกตอนด้วยน้องแคท (Catalytic Converter) แรงม้าลดลงเหลือ 122 bhp

205 GTI รุ่นพิเศษ ที่ระลึก (ทำยังกะพระเครื่อง)

Miami Blue และ Sorento Green สีพิเศษพร้อมเบาะหนัง
The Gentry ภายในบุหนังแท้ ทั้งคัน
The Griffe ฟลูออพชั่นทุกอย่างที่มีขายในขณะนั้น ยกเว้นแอร์ !!! ABS, Sunroof, Powersteering สีพิเศษ Laser Green
The 1FM ฉลองวันเกิดวิทยุชุมชน BBC Radio1 เพียง 25 คันเท่านั้น ออฟชั่นครบทุกอย่างรวมทั้งแอร์ แถมแถบทองเหลืองสลักหมายเลข ตอกโค๊ด กันปลอม

205 Rallye กะให้เป็นทางเลือกสำหรับพวกรสนิยมสูงรายได้ต่ำ คือตัว GTI ลงเครื่อง TU24 1,300 แต่แต่งแคมชาร์ฟ ใส่เวปเบอร์คู่ รีดออกมาได้ 102 bhp ที่ 6800 รอบ ที่น่าสนใจคือ พี่ท่านถอดวัสดุสิ้นเปลืองออกเกลี้ยง แผ่นกันเสียง ระบบไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ลดน้ำหนักก่อนขึ้นชกเหลือ 794 ก.ก. ว่ากันว่าเป็น 205 ที่ขับยากมั่กๆ ให้อารมณ์แรลลี่แท้ๆ ดิบกว่า ลาบ แต่ปรากฎว่ากลายเป็นว่าเป็นที่ต้องการอย่างมาก เหมาะสำหรับพวกซาดิสม์ ออโต้อีโรติก ปัจจุบันหายากมากเพราะขับไปพังไป ทั้งๆที่ผลิตมาถึง 30,000 คัน มีให้เลือกสองสี ขาวกับเหลือง ขายเฉพาะในยุโรบ ยกเว้นในเยอรมันเพราะเครื่องพันสามแรงไม่พอวิ่งบนออโต้บาห์น ต้องวางเครื่องรุ่นใหม่เครื่องพันเก้า 105 bhp มีขายเพียง 1,000 คัน หายากถึงยากที่สุด
เนื่องจากการแข่งขันแรลลีหฤโหด ปารีส-ดักการ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความดังของเจ้าตัวเล็ก หลังจากครองแชมป์ สองปีซ้อนในปี 1987-1988 จึงอยากจะโม้ถึงความเป็นมาเป็นไปของแรลลีหลุดโลก จะได้เอาไปคุยต่อ แต่จะเน้นเฉพาะที่เกี่ยวกับ PG 205 เท่านั้นนะครับ คราวหน้าจะมาต่อ

กด Like ครับผม . . .
ติดตามผลงานคับโผม . . .
อ่านแล้วเหมือนจะออกสอบเลยครับ ได้อารมณ์ นั้นจริงๆ ฮ่าฮ่า. . .

กด like ให้เลยยอดเยี่ยมมาก

อยากรู้ข้อมูล 405 ด้วยอะคร้าบ

ขอบคุณครับ

ชอบๆ ขอบคุณครับ

 :โอ้ววววววววววว: ชอบๆ

มาเล่าต่อได้แล้วอ้าย...เดี๋ยวจัดรีเจนซี่ให้ 2 แบน..สนป่ะ..

รอฟัง405ด้วยคนครับ :ทำงานจนเวียนหัว:

รอฟังอีก คนครับ อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นมากครับ

 :โอ้ววววววววววว:  ชอบมากคับ ขออีกๆ

 :love love: :อะหา อะหา: :โอ้ววววววววววว:
                                      :ยินดี อุอุอุ: :สุดยอด: :พระเจ้าจอร์ท: :like: :harp: :ไปโลด:
                                                                      :Lucky: :มอบดอกไม้:

ชอบ และขอบคุณครับสำหรับความรู้นี้  อ่านแล้วให้ความรู้สึก "ไอ้ที่จอดอยู่หน้าบ้านนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ":like:

ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านครับ ช่วงนี้งานชุก เลยไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดท

คนสร้าง 205 พี่ฝรั่งเศสเขาบอกวัตถุประสงค์ของเจ้าตัวเล็กไว้ว่า 205 ถูกสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ "being fun.." ขับสนุก ขับมัน คล่องแคล่ว มาไว ไปไว เคลมเร็ว(อันนี้ของพี่ประกันเขา...)  

อันเป็นผลมาจากการวางตำแหน่งล้อที่เกือบสุดตัวรถ น้ำหนักรถ ไม่ถึงเก้าร้อยกิโล ระบบช่วงล่างที่ไว้ใจได้ (ซึ่งต่อมาก็ยังใช้ ให้เห็นใน 405 306) ผสานกับแรงเครื่องยนต์ที่ เหลือเฟือ ถึงจะเป็นรุ่น GR ก็เถอะมีให้ถึง 75 แรงม้า (ม้าฝรั่ง อีกต่างหาก แถมโดนน้องแคท กับน้องแอร์ ดูดไปหลายตัว) พวงมาลัยหนักและไม่มีตัวช่วยเพาว่งเพาเว่อร์ใดๆ

แต่ได้อารมณ์ โหด ดิบ เถื่อน ควบคุมรถได้ง่าย และแม่นยำ ทั้งในความเร็วสูงและต่ำ ประหนึ่งขับรถโกคาร์ทบนถนนหลวง อะไรประมาณนั้น

เรื่องพวงมาลัยหนักนี่เห็นบ่นกันทุกท่าน แต่ผมว่าถ้าใช้ขอบ 13 ยางหน้าไม่กว้างมากนัก ที่ใช้อยู่ก็ไม่รู้สึกว่าหนักหนาอะไรมาก

และเมื่อความมันไม่เคยปราณีใคร ฝรั่งก็มีการจับเอาเครื่อง MI16 ยัดลงไป ทำให้รถโกคาร์ท 205 กลายเป็นจรวดนำวิถีขนาดจิ๋วบนถนนไปเลย โดยส่วนตัวผมไม่เคยต้องการให้ 205 แรงมากไปกว่านี้ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับรถอายุ เกินสิบปี ขับชิวๆ กินลม ช่วงล่างที่ไว้ใจได้เต็มร้อย ที่หาไม่ได้จากรถขนาดเดียวกัน

ถ้าพี่ๆ ที่อยากได้แรงม้าเยอะๆก็ไปเล่น Jazz, Yaris เลยดีกว่า มีให้เป็นร้อยตัว ราคาครึ่งล้านก็ไม่ว่ากัน ของผมมันครึ่งแสนเอง ว่าแต่จะคุมฝูงม้าอยู่รึเปล่าอีกเรื่องหนึ่งนะเอง

มาลองไต่เนินสะพานในกรุงเทพดูแล้วจะรู้ว่าช่วงล่างเมปๆ ขิงๆ แตนๆ มันหนึบอย่างไร

ผมใช้มา 205 จีอาร์มาสามคันแล้ว จีทีไออีกหนึ่ง ซื้อมือหนึ่งออกห้าง อวทม เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็เคย
ซื้อๆ ขายๆ แล้วในที่สุดก็กลับมาใช้เจ้าจีอาร์ ดังเดิม ถอด รื้อ คุ้ย แงะ แกะ เกา เปลี่ยน มาทุกซอกทุกมุม
โดนมาก็เยอะ เจ็บมาก็เยอะ ถามว่าเข็ดมั้ย ก็คงจะยัง จะใช้ไปเรื่อยๆจนไม่มีอะไหล่นั่นแหละ ผลิตออกมาเกินห้าล้านคัน มันก็คงเหลืออะไหล่มั่ง

เรื่องซ่อม ในเว็บนี้ก็มีเทพ 205 ซ่อนเร้นกาย แอบมองอยู่หลายท่าน ระดับปรมาจารย์ก็มี ท่านที่เป็นเจ้าของ 205 สามารถขอคำแนะนำ ปัญหาต่างๆ ได้ไปอีกนาน

อะไหล่แท้ หรือเทียบเท่า ก็ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรถปัจจุบัน เท่าที่เคยเปลี่ยนมา

แพงหน้ามืด ก็คือ มอเตอร์เดินเบา เปลี่ยนใหม่เกือบสองหมื่น
แพงไปใหน เพลาขับ ทั้งเส้น หมื่นกว่าบาท
แพงพอรับได้ ช่วงล่างเปลี่ยน ปีกนก บูช ยางต่างๆ ทั้งระบบ ยอยพวงมาลัย ยกชุดเกือบหมื่น

ว่างๆ จะมาเล่าต่อนะครับ

น้องเขียวเสวยยามหล่อยามลุย...และเมื่อท้าดวลชกข้ามรุ่นกะรุ่นใหญ่ @pai

ความเป็นมาอย่างย่อ เริ่มต้นขึ้นในปี 1977 เมื่อกระทาชายนาย เทียรี่ (Thierry Sabine) ไม่ใช่เทียรี่ อองรีเตะบอลนะ เกิดหลงทางระหว่างกลับบ้าน เอ้ยไม่ใช่ ระหว่างแข่งแรลลีจากเมือง Abidjan ไป Nice อิตาลี หลงทางที่ใหนไม่หลงดันไปหลงในทะเลทรายลิเบีย กว่าที่ทีมค้นหาจะเจอก็บักโกรกเต็มที พี่แกเลยสาบานไว้ว่าต้องเอาคนอื่นมาหลงกะพี่แกให้จงได้ จึงไปบอกเล่าต่ออีก 7 คนและอีก 7 คนก็เล่าต่ออีก 7 (ชักจะเหมือนจดหมายลูกโซ่เข้าไปทุกที) ไปๆ มาๆ ชักได้เรื่อง หาเงินเสียเลย ก็เลยจัดเส้นทางจากปารีส ยุโรป ผ่านทะเลทราย Agadez ไปสิ้นสุดที่ Dakar อัลจิเรีย (สมัยนั้นคงยังไม่รบกันมากมายเหมือนสมัยนี้)

ความฝันบวกความบ้าคูณแรงโม้ ยกกำลังสองความโหด เลยกลายมาเป็น The Paris-Dakar (ชื่อใหม่เรียก The Dakar เฉยๆ) อันมีสโลแกนว่า A Challenge for those who go, A dream for those who stay behind? ประมาณว่า ท้าทายคนไป ฝัน(ร้าย)คนอยู่?

ก็ไม่รู้จะเล่าความโหดยังไงดี เพราะไม่เคยไป 555 แต่กล่าวกันว่า พวกมือสมัครเล่นโดยเฉลี่ยจะถึงปลายทางเพียง 5% พวกที่ลงแข่งมีทั้งบาดเจ็บ พิการ ตาย หายสาบสูญ ฯลฯ แต่ก็ไม่สำนึก ยังคงมีพวกรนหาที่ลงแข่งได้ทุกปี
หากสนใจเชิญครับ ที่นี่เลย http://www.dakar.com/

ในปุจจุบันได้ลดเลเวลความโหดลงไปเยอะจากระดับสิบเหลือเพียงเจ็ด แปด กลัวจะพากันไปตายเสียมากกว่า แถมเทคโนโลยีก็ขนมาเต็มพิกัด จีพีเอส ฮอลิคอปเตอร์ ยังงี้ รถเซอร์วิสเป็นโขยง ทีมงานเป็นร้อย คงเหลือความดิบเถื่อนให้พอเป็นกระสัยนิดๆหน่อยๆ

เปอร์โยต์กำลังรุ่ง Dakar ก็เหมือนเวทีนางงามโลก อย่ากระนั้นเลยจึงส่ง Peugeot 205 Model T16 เข้าประกวดและชนะเลิศในปี 1987 1988 สองปีซ้อน อืมม์ เจ้าตัวเล็กรุ่นนี้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงนะ ซาร่า

จริงๆ แล้ว ตัว T16 ไม่ได้แค่ชนะรายการนี้ เท่านั้น การแข่ง Rally Group B, WRC, Pikes-Peak Race ก็กวาดรางวัลมาไม่หวาดไม่ไหว

ผลที่ได้จึงเป็นประโยชน์ในการพัฒนา 405 ต่อมาซึ่งเป็นการขยายเจ้าตัวเล็กให้ใหญ่โตขึ้น แล้ว 405 ซึ่งก็ก็ครองแชมป์ ปารีส-ดักการ์ ต่อในปี 1989-1990 เห็นแมะ ไม่ธรรมดาจริงๆ ...

กำเนิด 205 T16 อสูรน้อยติดล้อ

ในปี 1976 วงการแข่งขันแรลลีใด้อนุญาตให้ รถที่ลงแข่งสามารถขับเคลื่อนแบบสี่ล้อได้ ซึ่งในขณะนั้นก็ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดสนใจ
และแล้ว Audi ก็ออกรุ่น Quattro ขับสี่ล้อ เป็นแชมป์ทีมแรกของโลกด้วยรถแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ลงแข่งในรายการพื้นๆ บ้านๆ

ฝ่ายทางเปอร์โยต์ก็ได้ซุ่มพัฒนา ด้วยเงินไม่อั้น จ้างคุณพี่ Jean Todt มาช่วยออกแบบรถในฝัน (ซึ่งในภายหลังพี่แกก็ไปอยู่กับทีม เฟอรารี่ F1 และแจ้งเกิดในกับเฟอร์รารีในวงการแข่งสูตรหนึ่ง)

พี่แกฝันถึงสิ่งใด เปอร์โยต์จัดให้ ขออย่างเดียวเอาชัยชนะมาให้ได้ โครงการลับ 205 T-16 ซึ่งก็เอาต้นแบบมาจากตัวบ้านๆ GTI รื้อออกทั้งคันประกอบใหม่ ย้ายเครื่อง ดัดโน่น ตัดนี่ ติดหอย ลดน้ำหนัก ด้วยความพิสดาร อลังการงานสร้าง เอาง่ายๆ ว่าทำใหม่ทั้งคัน แต่ให้หน้าตาเหมือน 205GTI?

พอเปิดตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวัง 205 T16 กวาดแชมป์ Group B ในสองปีถัดมา ส่งผลให้ สิงห์ยกขาตบมงกุฏราชา King of the GTI จาก VW ซึ่งดังระเบิดจาก Golf GTI กระเด็นไม่เป็นท่า จนเยอรมันเสียใจพ่ายแพ้สงครามโลกไป (ไม่น่าจะเกี่ยวนะเนี่ย)

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันแรลลีแบบ Group B ก็ถูกยกเลิกไปก่อนที่ 205 T16 จะสมบูรณ์เต็มร้อย เนื่องจาก อย่างที่กล่าวในตอนที่ผ่านมาว่า เป็นการแข่งที่อันตราย ตายกันเป็นเบือ จึงขออนุญาติไปแข่งต่อในนรกแทน

และเมื่อไม่มีการแข่ง Group B เจ้าสิงห์ T16 ก็โกอินเตอร์ ลงแข่ง ปารีส-ดักการ์, WRC, Pikes-Peak USA สร้างความจุกเสียดเคียดแค้นให้กับยี่ห้อต่างๆ เพราะพี่แกฟาดเรียบเป็นพระยาเทครัว นี่ถ้าอยู่บ้านเราอาจโดน เด็กแว็นซ์เอาหินทุ่มใส่กระจกหน้ารถด้วยความหมั่นใส้?

205 T16 ผลิตออกมาเพียง 241 คันออกขายทั่วไป 200 คันตามกฎการแข่งขัน และมีเฉพาะขับซ้าย ตัวขายทั่วๆไป ลดความแรงลดเหลือ 197bhp (ตัวแข่ง 450 bhp) วางกลางเครื่อง XU8T ความเร็วสูงสุด 213 Km/H ...ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ทอร์คมาเต็มๆ ที่ 4,000 รอบ อันนี้แรงนะเนี่ย เครื่อง 1,800 cc ติดหอย การ์เร็ต รุ่นปี 1984 สภาพดี ไม่มี อวทม ใดๆ ไม่ผ่านไฟแน้นซ์ และไม่ง้อด้วย ราคาประเมิน ณ ปัจจุบันประมาณ 48,800 ยูโร (ถ้ามีปัญญาหาได้ และมีคนยอมขายให้)

อ่านบทความท่านมันส์กว่าดูแบทแมนภาคล่าสุดอีกครับผม

 :love love: :อะหา อะหา: :โอ้ววววววววววว:
                                               :like: :like: :like: :พระเจ้าจอร์ท: :มอบดอกไม้:

 มาต่ออีก2บทความ ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมครับ น่าติดตามตอนต่อไปขอบคุณครับสำหรับความรู้ใหม่ๆ :like:

ในที่สุดก็ออกมาจนได้ครับโผม....^___________^
ต้องยอมพี่เค้าเลยครับ สุดจริงข้อมูลเชิงลึก 55
อ่านสนุกจนเข้าเส้นไปเลยครับโผม อิอิ

ปล. 205 ม้าไม่ถึงร้อยตัวก็จริงครับ แต่ทำไมกินม้าเกินร้อยตัวได้ละคับ ฮ่าฮ่า สู้กันต่อไปทาเคชิ ^_^

 :Cool: ปูเสื่อรอภาคจบครับผม ขอขอบคุณมากๆครับสำหรับความรู้และข้อมูลทุกอย่างในที่นี้ สุดยอดมากครับ  :มอบดอกไม้:  :Lucky:

ขุดขึ้นมาครับ สาระดีๆ ไม่มีภาคต่อแล้วหรอครับ บ้านเรามี 205T16ซักคันบ้างมั้ยครับ

 :love love: :อะหา อะหา:
                     ทองถึงจะฝังดินไว้ ขุดขึ้นมามันก็คือ ทองๆๆๆๆๆอยู่ดี :555:อ่านอีกก็ยังมันเหมือนเดิม :like: :harp: :ไปโลด:

มันจริงๆครับ

ชักอยากได้ขึ้นมาแล้วแฮะ

               :correct:         สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น
                                    สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ
                                    สิบมือคลำ ไม่เท่าซื้อมาขับเลย    :555: :harp: :ไปโลด:

ใช่แล้วครับ สนับสนุน

คันเล็ก ขับสนุกครับ

            :like:รูปแบบของน้องเจมมันก็เท่ไปอีกแบบหนึ่งครับ :พระเจ้าจอร์ท: :devil:

205 Un Sacre Numero. ลองค้นจากเนต แปลว่า 205, A Sacred Number. หรือ 205, What a great number. ถ้าแปลเป็นไทยก็คงเป็น เลขเด็ด 205 อิอิ ลองดูครับ