Lambda หรือ Oxygen Sensor ทำงานเหมือนกันคือตรวจดูความเข้มข้นของส่วนผสมหลังจากเผาไหม้ จะติดตั้งอยู่ในท่อไอเสียความห่างประมาณ 0.50 เมตร จากวาล์วไอเสีย
การทำงานของทั้ง 2 อุปกรณ์นี้ ต้องอาศัยความร้อนจากท่อไอเสีย คือประมาณ 300 องศาC หรือ 500 องศาC ขึ้นอยู่กับรุ่น เพื่อให้ มวลเซรามิค (Ceramic Compound) ทำงานตรวจจับค่า ออ๊กซิเจน หลังการสันดาปว่ามากน้อยเพียงใด โดยค่าดังกล่าวจะวิ่งอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 โวล์ท
สำหรับ NGV แล้ว :
ค่าระหว่าง 0.45 ถึง 1.0 โวล์ท หมายถึง ส่วนผสมหนาเกินไป
ค่าระหว่าง 0.01 ถึง 0.45 โวล์ท หมายถึง ส่วนผสมบางเกินไป
ค่า 0.45 โวล์ท : เป็นค่าส่วนผสมที่สมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า Stoichiometric Mixture
ตัววัดที่เรียกว่า Lambda Sensor จะมีสายไฟ 3 หรือ 4 เส้น(แล้วแต่ยี่ห้อ) เพราะจะมีสายไฟ + และ - เพื่อไห้ความร้อนตัวเองเนื่องจากบางประเทศอากาศหนาวมาก ลบหลายสิบอาศา จึงจำเป็นต้องมี Heater และจะมีสายสัญญานที่เปลี่ยนค่าเพียงเส้นเดียว
ตัวที่เรียกว่า Oxygen Sensor มีสายออกมาเส้นเดียว ซึ่งเป็นสายสัญญาน และไม่มีตัวทำความร้อนในตัว Heater ประเทศแถบเอเซียใต้ ใช้ตัวนี้ เพราะความร้อนภายนอกก็ตับแตกแล้ว
สัญญานจาก ทั้ง Lambda หรือ Oxygen Sensor จะแจ้งค่าไปที่ ECU และ ECU จะทำการคำนวนให้จังหวะการฉีดน้ำมันเข้าเครื่อง เพื่อปรับแต่งความหนาบางของส่วนผสมในห้องเผาไหม้ สำหรับ NGV แล้ว เจ้า 2 ตัวนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะไม่สามารถไปควบคุมการไหลของก๊าซได้ นอกจากว่าบางรุ่นที่มี Step Motor ติดตั้งอยู่ในสายระหว่าง ตัวปรับแรงดัน (ชาวบ้านเรียก "หม้อต้ม") กับหัวผสม (Mixer) เป็นลักษณะวาล์ว อีเลคโทรนิค เปิดและหรี่เองโดยคำสังจาก ECU พิเศษของชุด NGV ไม่ใช่ ECU ที่ติดมากับรถ
หากมีอุปกรณ์วัดค่าของ Lambda หรือ Oxygen Sensor ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรูปกร๊าฟแสดงผลบนจอ อาจเป็น Note Book แต่ต้องมี Soft Ware เฉพาะ ก็จะสามารถปรับความหนาบางของส่วนผสมได้ที่ 2500 รอบต่อนาที แต่ต้องใจเย็นๆ เพราะมันไม่ได้ขึ้นฮวบฮาบแบบเครื่องวัดรอบ หรือเกจน้ำมัน มันจะต้องใช้เวลา แต่ทางที่ดี อย่าปรับเอง ควรให้ช่างที่มีความชำนาญ จะดีกว่า
สรุปแล้ว ประโยชน์ที่จะนำไปใช้ ไม่ค่อยมี หากจะตามกระแสนิยมหรือเอาไว้อวดกันว่าฉันก็มี Lambda นะ ก็ติดไปเถอะ หากมีอยู่แล้วก้ช่างมัน เพราะอย่างที่บอก เมื่อบิดสวิทไปใช้ NGV มันก็จบการทำงาน เพราะมันช่วยอะไรไม่ได้เลย

