บทความเรื่องของ"น้ำมันเครื่อง" ที่ควรรู้และเข้าใจในฐานะผู้ใช้รถยนต์Special Thank's Credit คุณ
namhorm/thaiertigaclub ปัจจุบันนี้มีน้ำมันเครื่องมากมายหลายยี่ห้อและค่ายรถต่าง ๆ ก็มักจะมีน้ำมันเครื่องเป็นยี่ห้อของตัวเองมาบริการให้ลูกค้ากัน อาจจะมีทั้งเกรดกึ่งสังเคราะห์ หรือสังเคราะห์แท้ มาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าได้ใช้น้ำมันเครื่องบางยี่ห้อ บางรุ่น ที่ผู้บริโภคเลือกใช้ เท่าที่พบปัญหาก็คือ บางคนก็บอกว่าดี บางคนก็บอกไม่ดีหรืออาจจะมีกรณีที่ใช้ดีในระยะแรก ( 5000 - 6000 กิโล ) เครื่องยนต์ลื่น ประหยัดน้ำมัน แต่หลังจากนั้น
เครื่องยนต์อืด กินน้ำมันมากขึ้น หรือใช้ไปสักพักพอเช็คระดับน้ำมันเครื่องดู ปรากฎว่าน้ำมันเครื่องหายไปผิดปกติ
น้ำมันเครื่องมีความสำคัญต่อรถและเครื่องยนต์รวมทั้งระบบต่าง ๆ มากนะครับ เครื่องยนต์จะคงสภาพดีได้นานหรือไม่นาน
ขึ้นอยู่กับน้ำมันเครื่อง และมีผลต่อน้ำมันเกียร์และระบบของเกียร์อีกด้วย มันก็เหมือนกับเลือดในตัวคนเรานั่นล่ะครับ
ประสบการณ์ของผมเอง ก็เคยใช้รถและใช้น้ำมันเครื่องแบบไม่มีความรู้มาก่อน ใช้ ๆ ไปอย่างงั้น และยังเข้าใจผิดว่ารถที่ใช้น้อย
จอดซะส่วนใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ผลคือ เครื่องยนต์พัง
ความรู้เรื่องน้ำมันเครื่องและเทคนิคในการเลือกซื้อมาใช้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องรู้ไว้ด้วย เพื่อรถอันเป็นที่รักของเราจะได้ใช้ในสภาพดี ๆ ไปนาน ๆหรือหากจะขายต่อ ก็ขายในสภาพเครื่องยนต์ที่คนซื้อเค้าพอใจ เราเองก็ได้ราคาดีๆด้วยซึ่งปัจจุบันนี้คำศัพท์ต่าง ๆ โคด หรือระหัส ที่แต่ละยี่ห้อใช้ ก็อาจจะทำให้เราสับสนหรือเข้าใจผิดได้นะครับ ตัวอย่างเช่น คำว่า synthetic หรือที่เรียกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ถ้าเราเห็นคำว่า synthetic ข้างแกลลอน อย่าได้เข้าใจว่ามันคือน้ำมันเครื่อง สังเคราะห์จริง ๆ นะครับ เพราะอาจจะเป็นสังเคราะห์เทียม ก็ได้...
1. ประเภทหรือเกรดของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องในปัจจุบันนี้ จะประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลัก 2 อย่างคือ
- ตัววัตถุดิบหลัก หรือ น้ำมันเครื่องบางยี่ห้ออาจจะเรียกว่า base stock
- สารเพิ่มประสิทธิภาพ หรือเรียกว่า additive
ในส่วนของ วัตถุดิบหลัก นั้นจะสามารถแยกกลุ่มออกมาได้เป็น 5 กลุ่มครับ
Group 1 - น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา (Base Oil)
- เป็นน้ำมันพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไป อายุการใช้งานประมาณ 5,000 กม.
Group 2 - น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ( Semi Synthetic)
- เป็นการนำน้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic) มาผสมกับ Base Oil โดยมีส่วนผสมของสารสังเคราะห์โดยเฉลี่ยไม่เกิน 10 - 15 %
Group 3 - น้ำมันเครื่องสังเคราะห์(เทียม) (Synthetic)
- น้ำมันสังเคราะห์เทียม หรือ ที่แป๊ะที่กระป๋องว่า (Synthetic) เพราะยังมีส่วนผสมของ Base Oil อยู่
* เนื่องจากตัวทำละลายสารเพิ่มคุณภาพมีราคาแพง จึงเอาน้ำมันปิโตรเลียมมาใช้เป็นตัวทำละลาย อาจจะมีส่วนผสมของ Base Oil อยู่ 10 ? 15 % ในแต่ละยี่ห้อก็มีการผสมแตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ราคาไม่สูงมากนัก แล้วอ้างว่าเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือ น้ำมันเครื่อง Synthetic และบางทีก็หาทางออกโดยใช้คำว่า Synthetic Technology หรือใช้คำ Synthetic ร่วมกับคำอื่นๆ เป็นน้ำมันสังเคราะห์ส่วนใหญ่ที่วางขายในบ้านเรา
* ตั้งแต่ Group 1 - 3 เป็นน้ำมันเครื่องที่ทำมาจาก น้ำมันดิบ หรือ น้ำมันตามธรรมชาติ ซึ่งจะมีขนาดโมเลกุลที่ไม่เท่ากัน
Group 4 - น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full Synthetic) PAO 100 %
- ผลิตมาจากสารสังเคราะห์ล้วนๆ โดยไม่มี Base Oil เจือปน แม้แต่น้ำมันพื้นฐานก็ยังเป็นเกรด Synthetic Base Oil ส่วนใหญ่จะเป็นพวก PAO หรือ Polyalphaolefin คือผลิตขึ้นมาจากสารสังเคราะห์แท้ๆ 100 % ให้การหล่อลื่นและปกป้องได้ดียิ่งกว่า เหนือกว่าน้ำมันเครื่องทุกยี่ห้อ ที่มีขายในขณะนี้
Gruop 5 ? จะเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ที่มีความคล้ายคลึงกับ Group 4 มีความหล่อลื่นมากและอายุการใช้งานสูงเหมาะสำหรับพวกเครื่องจักร
* PAO. ผลิตมาโดยการสังเคราะห์เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีกว่าปิโตรเลี่ยม เพราะผลิตหรือสังเคราะห์ให้มีโมเลกุลขนาดเท่า ๆ กัน จึงมีความเรียบลื่นมากกว่า ลดการเสียดสีได้ดีกว่าและมีความสะอาดกว่าปิโตรเลี่ยม มีความคงสภาพได้ยาวนานกว่า
ดังนั้น น้ำมันเครื่องGroup 4 จึงเป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จริง ๆ แท้ ๆ ซึ่งเหมาะสมสำหรับยานยนต์ ให้การปกป้องมีความลื่นและอายุการใช้งานสูง
ในการผลิตน้ำมันเครื่องเค้าก็ใช้น้ำมันเครื่องพื้นฐานจาก 1 ใน 5 นี่แหละ แล้วนำเอาพวกสารเพิ่มประสิทธิภาพหรือ additive ผสมลงไป โรงงานที่ผสมหรือผลิตน้ำมันเครื่องในบ้านเรามีอยู่ไม่กี่แห่ง พวกบริษัทน้ำมันเครื่องก็จ้างโรงงานเหล่านี้ผลิตให้ ดังนั้นน้ำมันเครื่องหลายยี่ห้อก็ออกมาจากโรงงานเดียวกัน ด้วยเหตุนี้คุณภาพของน้ำมันเครื่องจึงขึ้นอยู่กับการเลือกใช้น้ำมันเครื่องพื้นฐานกับพวกสารเพิ่มคุณภาพที่เติมผสมลงไป
น้ำมันเครื่องที่ค่ายรถต่าง ๆ แปะยี่ห้อของตัวเองลงไปนั้น ให้เข้าใจว่า ไม่ได้มาจากโรงงานของค่ายนั้น ๆ แต่ค่ายรถเค้าได้ตกลงทำธุรกิจร่วมกับบริษัทน้ำมันยี่ห้อต่าง ๆ อาจจะเป็น เชล , อพอลโล ฯลฯ ซึ่งเราก็อาจจะไม่รู้หรอกครับ ว่าเค้าตกลงกับยี่ห้อไหน
แต่คาดว่า ซูซูกิ น่าจะร่วมกับเชล นะครับ เพราะวิทาร่า ก่อนที่จะมีน้ำมันเครื่องซูซูกิออกมาใช้ ใต้ฝากระโปรงมันแปะ เชล เฮลิค แต่ก่อนหน้า เชล นั้น ซูซูกิ น่าจะใช้ คาสตรอลนะ เพราะรถวิทาร่าออกมาใหม่ๆทางศูนย์ใช้คาสตรอลเกรดสังเคราะห์แท้ ส่วนฮอนด้านั้น น้ำมันเครื่องน่าจะมาจาก อพอลโล่ ครับ
แต่ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ ข้อเท็จจริงคือ
น้ำมันเครื่องที่เราใช้กันอยุ่ทุกวันนี้บริษัทน้ำมันไม่ได้เป็นเจ้าของสูตรเองนะครับ ทุกแห่งล้วนซื้อ
สูตรมาจากบริษัทที่ขาย additive ซึ่งเค้าจะขาย additive เป็น package พร้อมผลการทดสอบกับเครื่องยนต์
ที่กล่าวมาข้างต้นในหัวข้อ additve ครับ บริษัทน้ำมันทั้งหลายก็จะเอาสูตรน้ำมันเครื่องที่ต้องเติม additive
ของบริษัทที่ขาย additive ไปยื่นจดทะเบียนที่กรมธุรกิจพลังงาน และผลิตออกมาขายกันในตลาด ซึ่งอันที่จริงแล้ว
โรงงานกลั่นน้ำมันที่ผลิต base oil ในไทย group 1-3 มีอยู่แค่ 2 โรงกลั่นเท่านั้น (ไม่ข้อเอ่ยนามนะครับ) โรงกลั่น
ที่กลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงออกมาขายไม่สามารถกลั่น base oil ออกมาขายได้ครับ มันต่างกันทั้งเรื่องของ process
และแหล่งที่มาของน้ำมันดิบ ดังนั้นบริษัทน้ำมันทั้งหลายจึงซื้อ base oil จาก 2 โรงกลั่นนี้เท่านั้น ส่วน base oil
จาก group 4-5 จะนำเข้าทั้งหมด ดังนั้นไม่ว่าน้ำมันเครื่องยี่ห้อไหนจะมีที่มาเหมือนกันดังนี้ครับ
1. Base oil ถ้าเป็น base oil แบบธรรมดา ( group 1-3 ) ในประเทศไทยจะซื้อมาจากโรงกลั่นทั้ง 2 โรงเท่านั้น บริษัทน้ำมันไม่ได้กลั่น base oil เอง
แต่ถ้าเป็น แบบสังเคราะห์ GROUP 4 - 5 (PAO ) ก็นำเข้ามาทั้งหมด
2. Additive อันนี้ก็ซื้อจากต่างประเทศพร้อมสูตรการผสม base oil กับ additive package ของเค้าอยู่ดี
ในส่วนของการผลิตหรือผสม base oil กับ additive บริษัทน้ำมันส่วนมากไม่ได้ผลิตเองนะครับ เค้าจะไปจ้าง
โรง blend ทำการผลิตให้ครับ
ในความเป็นจริงจึงทำให้น้ำมันเครื่องแต่ละยี่ห้อมีคุณภาพใกล้เคียงกันครับ
ดังนั้นน้ำมันเครื่องคุณภาพดีหรือไม่ จึงไม่ได้อยู่ที่ยี่ห้อเป็นหลัก ( ยกเว้นชื่อเสียง หรือมาตรฐานรับรองต่าง ๆ )
แต่มันอยู่ที่พื้นฐานของตัววัตถุดิบหลักว่ามาจากอะไรมากกว่าครับ