นางเพ็ญจิตร ปัญญวัณศิริ กับพวก 9 คนยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ฟ้องรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน, ปลัดกระทรวงพลังงาน, สำนักนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติ, กรมเชื้อเพลิง, กรมการค้าภายใน และ ปตท.
คดีหมายเลขดำที่ 990/2550 ลงวันที่ 17 พ.ค.2550
พฤติการณ์ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย... ได้รับความเดือดร้อนจากการแบกรับภาระค่าน้ำมัน ค่าก๊าซ (ค่าไฟฟ้า) ที่นับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง
เมื่อน้ำมันแพง พ่อค้าคนกลางส่วนใหญ่จะฉวยโอกาส ขึ้นราคาค่ารถโดยสาร ค่าอาหาร ค่าขนส่ง ต้นทุนสินค้าทุกชนิด...สินค้าอุปโภค บริโภค แพงทุกอย่าง...โรงงานผลิตสินค้าก็ต้องเพิ่มต้นทุนบวกลงไปกับราคาสินค้า
กระทั่ง...การไฟฟ้าฯ ทั้งๆที่ใช้ก๊าซที่ขุดจากในประเทศเป็นหลัก ก็เพิ่ม ค่าไฟโดยอ้างราคาน้ำมัน
ต้นทุนแพงทั้งเชื้อเพลิง ค่าขนส่ง เดือดร้อนกันถ้วนหน้า แต่ เวลาน้ำมันลง ค่าโดยสาร ค่าสินค้าอุปโภค บริโภคไม่ได้ลงตาม ทำให้ ผู้ฟ้องคดีและประชาชนเดือดร้อน
จากการติดตามรายละเอียดข้อมูลใน ปตท. พบว่า ปตท.ไม่เสนอข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนให้ชัดเจนว่า ซื้อน้ำมันดิบมาจากแหล่งใด ราคาต้นทุนเท่าไหร่ ณ วันเวลาที่ขึ้นราคาน้ำมัน และวิธีคำนวณราคาน้ำมันเป็นอย่างไร
แต่ที่ทำกันเปิดเผย...มักจะอ้างราคาน้ำมันสำเร็จรูป จากราคาสิงคโปร์ แหล่งน้ำมันเท็กซัส โดยมีสื่อบางสื่อเสนอข่าวคู่กันไป เพื่อให้ประชาชนดูว่า น้ำมันขึ้นราคา
ความจริงไม่ได้ซื้อจากแหล่งนั้นๆ เท่าที่ทราบ เคยซื้อจากตะวันออกกลาง ใช้เวลาส่งน้ำมันทางเรือ อย่างน้อย 45 วัน
ดังนั้น ราคาน้ำมันที่บอกว่า...วันนั้น วันนี้ ขึ้นราคา คงไม่ใช่ ราคาต้นทุนน้ำมันที่แท้จริง ณ วันที่จะขึ้นราคา
ตัวอย่าง ราคาน้ำมันดิบ เดือนพฤษภาคม 2550 น้ำมันดิบดูไบลิตรละ 12.57 บาท น้ำมันโอมาน ลิตรละ 12.62 บาท...ขณะที่น้ำมันเบนซิน ประเทศไทย ขายอยู่ที่ลิตรละ 29-30 บาท
หากจะอิงไปถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ ณ วันที่ 26 เมษายน 2550 ราคาบาร์เรลละ 87.31 ดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทย ตกลิตรละ 19 บาท (1 ดอลลาร์ เท่ากับ 35 บาท, 1 บาร์เรล เท่ากับ 160 ลิตร)
ส่วนต่างราคาเป็นภาพแรกที่ต้องชี้ให้เห็น...ราคาน้ำมันเมืองไทยกับสิงคโปร์ ต่างกันเกือบ 10 บาท
เหตุที่ ปตท. ไม่บอกราคาน้ำมันเป็นบาทต่อลิตร เป็นความพยายามที่จะปิดบังข้อเท็จจริงอะไรหรือไม่?
ราคาน้ำมันดิบกับน้ำมันสำเร็จรูปต่างกันเกือบ 2 เท่าตัว มาจากไหน?
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกร ราคาน้ำมันดิบปี 2548 อยู่ที่ลิตรละ 12.55 บาทเทียบกับราคาเบนซินหน้าโรงกลั่น (ราคาน้ำมันดิบ+ค่าการกลั่น) อยู่ที่ลิตรละ 18.6697 บาท จะมีส่วนต่างลิตรละ 6.1197 บาท
ส่วนต่าง 6 บาท คือราคาค่าการกลั่น โดยประมาณของน้ำมันเบนซินในปี 2548
น้ำมันหน้าโรงกลั่น ลิตรละ 18.6697 บาท กว่าจะเป็นราคาน้ำมันสำเร็จรูปขายปลีกตามปั๊มถึงมือผู้บริโภค จะมีการบวกภาษีสรรพสามิตร 3.6850 บาท, ภาษีเทศบาล 0.3685 บาท, กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.5 บาท, และกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน 0.04 บาท
รวมทั้งหมดนี้ เป็นราคาน้ำมันขายส่งหน้าโรงกลั่น อยู่ที่ลิตรละ 24.2632 บาท
จากราคาขายส่ง ก็จะบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาขายส่ง 1.6984 บาท, ค่าการตลาด...กำไรของปั๊มน้ำมัน 1.2882 บาท, และภาษีมูลค่าเพิ่มส่งการตลาด 0.0902 บาท
สรุปแล้ว...ประชาชนจะซื้อน้ำมันเบนซิน ลิตรละ 27.34 บาท
ข้อมูลเดือนเมษายน 2550 ต้นทุนน้ำมันดิบ อยู่ที่ลิตรละ 14.22 บาท... บวกค่ากลั่น...? บวกภาษี 5.8273 บาท...บวกกองทุนต่างๆ 3.53 บาท... บวกค่าการตลาด 0.4451 บาท...
ยังไม่รวมค่ากลั่น ราคาเบนซินอยู่ที่ลิตรละ 24.0224 บาท แต่ราคาเบนซิน ณ ปลายเดือนเมษายน ลิตรละ 29 บาท เท่ากับว่าค่ากลั่นอยู่ที่ลิตรละ 4.9776 บาท
โรงกลั่นคิดค่ากลั่นเกือบลิตรละ 5 บาท คิดเป็น 20% ของราคาขาย
หากกลั่นน้ำมันวันละ 1 ล้านลิตร โรงกลั่นจะมีรายได้วันละ 4-6 ล้านบาท แต่ปั๊มน้ำมันขายน้ำมันเบนซินลิตรละ 29.99 บาท กำไรแค่ 0.441 บาท
ที่น่าสนใจ...ค่าการกลั่นลิตรละ 4-6 บาท เป็นราคากลั่นเฉพาะหนึ่งผลิตภัณฑ์เท่านั้น น้ำมันดิบ 1 ลิตร...สามารถกลั่นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่างกันออกมาได้กว่า 10 ชนิด ภายในครั้งเดียว เช่น เบนซิน 95, เบนซิน 91, ดีเซลหมุนเร็ว, ดีเซลหมุนช้า, เอพี 1, LPG, ก๊าซหุงต้ม, ยางมะตอย และแนปตร้า
กระทรวงพลังงานมีหนังสื่อ เรื่องการควบคุมราคาน้ำมัน ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2549 ระบุว่า รัฐต้องควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความโปร่งใส เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2550 น้ำมันเบนซิน 95 ขึ้นราคาเกือบ 5 บาท โดยราคาน้ำมันดิบต่างประเทศดูไบและโอมาน เฉลี่ยอยู่ที่ลิตรละ 14.22 บาท เดือนกุมภาพันธ์น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 12.57 บาท
ต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 บาทกว่า แต่ราคาขายน้ำมันกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 5 บาท เมื่อมาดูค่าการตลาด ปรากฏว่าลดลงไปเรื่อยๆ
เป็นการตอบโจทย์ที่ว่า...ทำไม ผู้ค้าปลีกน้ำมันรายย่อย จึงทยอยปิดตัวกันไปเรื่อยๆ
เคราะห์หนักตกอยู่กับประชาชน บริโภคน้ำมันแพง ของกินของใช้ก็แพงสวนทางกับสถานภาพทางธุรกิจของโรงกลั่น กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี โดยที่รัฐ... สำนักนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติ กรมเชื้อเพลิง กรมการค้าภายใน มิได้ให้ความเป็นธรรมในการควบคุม
เมื่อดูผลประกอบการของ ปตท.กำไรส่วนหนึ่งมาจากการขายก๊าซ และ ก๊าซหุงต้ม โดยเฉพาะการขายก๊าซแบบผูกขาดให้การไฟฟ้าฯ ไม่เคยปรากฏว่า ต้นทุนที่ ปตท.ไปผูกขาดซื้อจากแหล่งขุดเจาะในราคาเท่าใด?
เท่าที่ทราบจากคำฟ้องของนายแพทย์เหวง โตจิราการ ราคาต้นทุนก๊าซประมาณ 20 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งบวกค่าผ่านท่อ 20 บาท แต่ ปตท.ขายให้การไฟฟ้า 188 บาท ต่อล้านบีทียู...กำไรกว่า 4 เท่าตัว
ทั้งที่กำไรมากขนาดนี้ ผู้ว่าการการไฟฟ้ายังออกข่าวว่า...การไฟฟ้าลดค่าไฟ ft ไม่ได้ ยังค้างต้นทุนค่าก๊าซให้ ปตท. 6,000 ล้านบาท
ดูเหมือนว่าประชาชนโดนหมกเม็ดข้อมูลมาตลอด
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลโปรดพิจารณา ไต่สวน และดำเนินการ ดังนี้
1. ยับยั้งการขึ้นราคาน้ำมันไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ต้นทุนที่แท้จริง และไม่ค้ากำไรเกินควร นำไปสู่การค้าที่เป็นธรรมต่อประชาชน โดยวิธีการที่โปร่งใส
2. ให้กระทรวงพลังงาน ชี้แจงข้อเท็จจริง การขึ้นลงค่าน้ำมัน ว่าทำไม ต้องขึ้นเท่ากัน สี่สิบสตางค์ทุกครั้ง...ทุกปั๊ม ให้ชัดเจน โปร่งใส ยุติธรรม รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ ปตท.กำหนดราคา เช่น เบนซิน 91, ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลหมุนช้า ฯลฯ
3. ให้กรมเชื้อเพลิงชี้แจงเกณฑ์ในการกำหนดราคาค่าก๊าซ ทำไมต้องให้ ปตท.ขายให้การไฟฟ้า ในราคา 188 บาทต่อล้านบีทียู และให้แสดงต้นทุนจริงของการซื้อก๊าซจากแหล่งผลิต
4. ให้รัฐบาลหรือกรมการค้าภายในกำหนด หรือควบคุมอัตรา ค่าการกลั่น ซึ่งควรจะควบคุมทันที และควบคุมราคาค่าก๊าซ และก๊าซหุงต้ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เป็นผลผลิตจากการกลั่นน้ำมันดิบ 1 ลิตร
ทั้งหมดเหล่านี้ เพื่อสร้างความจริงให้ปรากฏ ราคาน้ำมัน ราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆจะได้ลดลง ประชาชนทุกคนก็จะแบกภาระลดลงไปด้วย.
ที่มา : ปีที่ 58 ฉบับที่ 18020 วันพฤหัสบดี ที่ 24 พฤษภาคม 2550
http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=48054อยากตะโกนดังๆว่า สะใจเว้ย

